สิ่งแวดล้อมไทยกำลังเผชิญกับ “การระบาดของปลาหมอคางดำระดับรุนแรง” ที่แพร่กระจายในแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างน้อย 17 จังหวัดทั่วประเทศ และกำลังรุกรานขยายเผ่าพันธุ์ในน้ำทะเลอ่าวไทยลงสู่ “ทะเลสากล” มีแนวโน้มจะสร้างความเสียหายทางชีวภาพห่วงโซ่อาหารอีกไม่นานเกินรอนี้กลายเป็นสถานการณ์วิกฤติ “ส่งผลกระทบทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ในอีกไม่นาน ดร.ชวลิต วิทยานนท์ นักวิชาการอิสระด้านความหลากหลายของสัตว์น้ำ บอกว่า ตามการศึกษาตำแหน่งการระบาดจาก “รอบฟาร์มวิจัยใน จ.สมุทรสงคราม” เริ่มสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านพื้นที่ใกล้เคียงตั้งแต่ปี 2555-2560กระทั่ง “เกษตรกรเลี้ยงสัตว์น้ำ จ.สมุทรสงคราม และเพชรบุรี” ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ คกก.สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แล้วในปี 2561 “กรมประมง” ประกาศห้ามนำเข้า ส่งออก นำผ่าน หรือเพาะเลี้ยงสัตว์ 13 ชนิด ในจำนวนนี้มีปลาหมอสีคางดำด้วยแต่ก็ไม่อาจหยุดการระบาดได้ ยังคงแพร่ขยายพันธุ์ไปอีกหลายพื้นที่จนถึงทุกวันนี้อย่างเช่น “ฝั่งตะวันออก” ที่รุกลามไปในเขตบางขุนเทียน กทม. และ จ.สมุทรปราการ ก่อนข้ามไปยัง จ.ระยอง และเขตคุ้งกระเบน อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี “ภาคใต้” ก็เลาะไปตาม จ.เพชรบุรี ยาวจนถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ต่อมาในปี 2565 เริ่มมีการศึกษาดีเอ็นเอให้ทราบแหล่งที่มา ก็พบว่า “การระบาดตั้งแต่เขตบางขุนเทียนยาวไปถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นปลาหมอคางดำมาจากแหล่งเดียวกัน” หลังจากนั้นในอีก 2 ปีถัดมาก็แพร่ระบาดลงไป จ.นครศรีธรรมราช จ.สุราษฎร์ธานี และตอนนี้ก็ได้ไปสุดที่แม่น้ำลำคลองแถว อ.ระโนด จ.สงขลา แล้วเช่นนี้ถ้าไม่แก้ไขให้ทันท่วงที “ปลาหมอคางดำ” มีโอกาสแพร่ระบาดข้ามไปประเทศมาเลเซียก่อนจะอ้อมลงมาประเทศสิงคโปร์วนกลับมายัง จ.ภูเก็ต แล้วจากนี้ไปอีก 10 ปีอย่างเร็วที่สุดก็จะไปถึงประเทศบังกลาเทศนั้น ก็แปลว่าความเดือดร้อนจะไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยแต่จะกระทบต่อคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดด้วยตั้งแต่ประเทศเวียดนามยาวไปจนประเทศบังกลาเทศที่จะได้รับความเดือดร้อนจาก “ระบบนิเวศถูกทำลาย” โดยเฉพาะประเทศไทยอาจต้องสูญเสียความมั่นคงทางอาหารที่สำคัญ กระทบต่อคนบางส่วนในโลกนี้เพราะการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ “ชายฝั่งของสามสมุทร และอ่าวไทยตอนบน” มีผลผลิตสัตว์น้ำส่งออกอย่างกุ้ง หอยแครง หอยแมงภู่ได้ปีละหลายหมื่นตันถูกส่งไปหล่อเลี้ยงคนกรุงเทพฯ จ.แม่ฮ่องสอน จ.เชียงใหม่ รวมถึง สปป.ลาว และหลายประเทศทั่วโลก อันนำมาซึ่งจีดีพีเพิ่มขึ้นหลายเปอร์เซ็นต์ที่ได้จากภาคประมงชายฝั่งไทยนี้เมื่อเป็นเช่นนี้แน่นอน “ผลกระทบจากปลาหมอคางดำค่อนข้างรุนแรง” ด้วยเป็นสัตว์น้ำที่ระบาดร้ายแรงที่สุดในโลก สามารถแพร่ขยายพันธุ์เร็ว “อัตรารอดสูง” แถมตัวอ่อนในหนึ่งฝูงหลายพันตัวจะว่ายกระจายไปทั่วชายฝั่งอ่าวไทย เพราะเคยไปเที่ยวหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ก็เห็นปลาชนิดนี้ว่ายเป็นฝูงในจุดที่ประชาชนเล่นน้ำด้วยซ้ำส่วนหนึ่งมาจาก “ปลาหมอคางดำปรับตัวอยู่ได้ทุกน้ำ” ไม่ว่าจะเป็นน้ำจืด น้ำกร่อย แม้แต่น้ำที่มีสภาพเน่าเสียอย่างบึงมักกะสัน กทม. ก็อยู่ได้แล้วที่น่ากลัวกว่าปลาอื่นคือ “ปรับตัวอยู่ในน้ำเค็มสูงได้ดี” สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจุบันให้ปลาหมอคางดำกระจายไปทั่วตามภูมิภาคที่สามารถว่ายน้ำไปถึงได้ หากมาดูข้อถกเถียงสาเหตุ “การระบาดปลาหมอคางดำ” ที่นำเข้าจากต่างประเทศโดยบริษัทเอกชนผ่านการอนุญาตของกรมประมงเข้ามายังศูนย์ทดลองในพื้นที่ จ.สมุทรสงคราม แต่ด้วยปลาขนาดเล็กอ่อนแอ “ทยอยตาย” จึงทำลายทิ้งฝังกลบแล้วแจ้งด้วยวาจาต่อ “กรมประมง” แถมไม่พบเอกสารการส่งตัวอย่างดังกล่าวด้วยแต่ถ้าดูตั้งแต่ปี 2556-2559 “มีข้อมูลการส่งออกปลาถูกใส่ชื่อปลาหมอเทศข้างลาย 5 แสนตัวในราคาตัวละไม่กี่บาท” หากดูตามชื่อทางวิทยาศาสตร์ ปลาที่ถูกส่งออกนั้นกลับตรงกับ “ปลาหมอคางดำ” โดยกรมประมงลงบันทึกการขออนุญาตไว้เป็นเอกสารชัดเจน เพราะกระบวนการส่งออกสัตว์นั้นกฎหมายค่อนข้างเข้มงวดอย่างการส่งออกสัตว์น้ำ “กรมประมง” ต้องทำเป็นเอกสารยืนยันต่อกรมศุลกากรว่าสัตว์น้ำนั้นไม่ผิดกฎหมายประมง หรือกฎหมายอื่นใด ดังนั้นจะเห็นว่าปลาหมอเทศข้างลาย 5 แสนตัวถูกบันทึกยืนยันส่งออกในปีนั้นจริงๆ ก่อนที่ปี 2561 มีประกาศห้ามนำเข้า-ส่งออก เพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ ทำให้การส่งออกปลาชนิดนี้สิ้นสุดลงไป“ภาพรวมผลกระทบการระบาดปลาหมอคางดำเชื่อว่าเป็นความเสียหายระดับชาติสูงเป็นพันล้านบาทถึงหมื่นล้านบาท โดยเฉพาะปัญหาที่กำลังเกิดในจังหวัดชายฝั่งทะเลเสียหายอย่างหนัก ดังนั้นต้องตั้งเป้าหมายกำจัดปลาหมอคางดำให้เหลือศูนย์ตัวโดยเร็วที่สุด ก่อนที่จะระบาดไปยังประเทศรอบข้างในเร็ววันนี้” ดร.ชวลิตว่าขณะที่ ศยามล ไกรยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ บอกว่า นับตั้งแต่ปี 2560 ที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเครือข่ายประมงสมุทรสงครามเรื่องปลาหมอคางดำแพร่ระบาดในปี 2553 “บริษัทเอกชนนำเข้า 2,000 ตัว” เพื่อนำมาทดลองเลี้ยงแล้วปลาทยอยตายใน 3 สัปดาห์ และทำลายด้วยการฝังกลบโรยปูนขาวแล้วแจ้งให้กรมประมงทราบด้วยวาจา “มิได้ทำรายงานเป็นทางการ และมิได้เก็บซากส่งตามเงื่อนไขอนุญาตของไอบีซี” คราวนั้น กสม.เสนอให้ตั้ง คกก.แก้ปัญหาการระบาดขึ้นมา “กรมประมง” ก็กำจัดปลาหมอคางดำ และทำแผนปฏิบัติการนำเข้าสัตว์น้ำต่างถิ่นใช้งบไป 11 ล้านบาท เพียงแต่การแก้ไขปัญหาทำไม่ต่อเนื่องต่อมาปี 2567 “เครือข่ายประมงสมุทรสงครามมาร้องเรียนอีกครั้ง” ทำให้ กสม.ตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังตามรายงานเมื่อ 14 ปีก่อน “อาจต้องใช้เวลาตรวจสอบหาหลักฐาน” แต่ด้วยการระบาดกระจายไปในหลายพื้นที่แล้วเดือน เม.ย.2567 “ชาวประมงก็ประชุมร่วมกับ กสม.” มีข้อเสนอแก้ไขเร่งด่วนเพื่อจะมีเงินเยียวยาอย่างไรเหตุนี้จึงเสนอ “ใช้เงินสำรองราชการด้วยการประกาศภัยพิบัติ” แต่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยชี้แจงว่า “ไม่เข้าเกณฑ์ตามเหตุฉุกเฉินฉับพลันเร่งด่วน” แม้แต่จะใช้เงินทาง จ.สมุทรสงคราม ก็ทำไม่ได้ ทำให้เสนอกรมประมงให้สอบถามกรมบัญชีกลางจะเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบได้อย่างไรแต่ก็ไม่คืบหน้าใดๆสำหรับ “ความรับผิดชอบของบริษัทเอกชนและกรมประมง” เรื่องนี้ก็ได้เรียกประชุมหารือด่วนกับกรมประมงและบริษัทเอกชนผู้นำเข้า “เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหานี้” ในส่วนกรณีกรมประมงมีการประกาศยกเว้นการใช้เครื่องมืออวนรุนเพื่อให้ชาวประมงเร่งจับปลาหมอคางดำไม่เท่านั้นยังมีแผน “ปล่อยปลากะพงไปล่า” ทั้งมีหนังสือแจ้งผลประชุมให้แต่ละจังหวัดพูดคุยกันระหว่างชาวประมงในจังหวัด และสำรวจความเสียหายจากการระบาดแล้วคุยกันต่อว่า “จะมีมาตรการจูงใจใดให้ชาวประมงเร่งจับ” ด้วยสมัยก่อนภาครัฐรับซื้อ 5 บาท/กก.อันเป็นอัตราค่อนข้างต่ำ “ไม่เป็นแรงจูงใจ” อาจกำหนดราคาสูงกว่าเดิมนำมาซึ่งการประชุม คกก.ระดับชาติ “เร่งทำแผนและงบประมาณ” เพราะเรื่องนี้มิใช่ภารกิจกรมประมงฝ่ายเดียวแต่เป็นภารกิจรัฐบาลด้วยที่ต้องประมวลสถานการณ์ของหน่วยงานรัฐและประสานภาคเอกชน รวมถึงสนับสนุนงบประมาณมาจากส่วนใดได้บ้าง สุดท้ายนี้เวทีเสวนา “ปลาหมอคางดำทำลายสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจไทยใครรับผิดชอบ” จัดโดยสภาที่สาม ขอเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาหยุดการระบาดปลาหมอคางดำ ทำลายให้สูญพันธุ์ ไม่ใช่ส่งเสริมการขาย เพราะมิได้ป้องกันการระบาดไปทั่วประเทศ “กรมประมง” ต้องสืบค้นให้สิ้นสงสัยหากทำลายพันธุ์ปลา 50 ตัวไปแล้วเหตุใดยังคงมีปลาหมอคางดำหลายสิบล้านตัวกระจายไปทั่วประเทศ “จึงต้องเปิดข้อเท็จจริงให้สังคมกระจ่าง” ในส่วนบริษัทนำเข้าได้ชื่อว่ามีธรรมาภิบาล ควรแสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้ “มิใช่แค่ 5 มาตรการ” ที่ สนับสนุนภาครัฐ แก้ปัญหาที่เป็นการแสดงความจริงใจมากกว่าปัดความรับผิดชอบย้ำข้อเสนอว่า “ประชาชน” คาดหวังต่อรัฐบาลผลักดันให้เรื่องนี้ “เป็นวาระแห่งชาติ” แล้วตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมาร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาจริงจังเร่งด่วน.คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม