เศรษฐกิจสุขภาพ
เป้าหมายในปี 2567 ที่กระทรวงสาธารณสุข มุ่งมั่นที่จะปรับบทบาทเพื่อรองรับการแพทย์เพื่อสุขภาพคู่ปากท้อง
โดยเป็น 1 ในนโยบาย 10 ข้อ ที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข และคณะที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข ประกาศทันทีที่เข้ามานั่งคุมบังเหียนกระทรวงคุณหมอ
หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุข ต้องกรำศึกหนักในการปราบไวรัสร้าย โควิด-19 มาไม่น้อยกว่า 4 ปี จนกระทั่งถึงวันนี้ที่เรียกได้ว่าเอาอยู่ ในระดับที่รับมือได้ ทั้งการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน หรือหากติดเชื้อก็มียารักษา พร้อมเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของสายพันธุ์โควิด-19 อย่างใกล้ชิด

เมื่อสุขภาพประชาชนแข็งแรงเดินหน้าต่อได้ เป้าหมายต่อไปก็คือ การดูแลสุขภาพทางการเงินของครัวเรือนโดยอาศัยบุคลากร อุปกรณ์ เครื่องมือ การออกใบอนุญาตผลิตภัณฑ์ การควบคุมมาตรฐานสถานประกอบการ และอื่นๆ ที่ทุกกรม กอง มีอยู่ออกมาส่งเสริมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาปากท้องของ ประชาชน เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจประเทศ
...
นี่คืออีกหนึ่งบทบาทสำคัญในปี 2567 ที่ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขจะเดินหน้าควบคู่ไปกับหน้าที่หลักในการสร้างเสริมสุขภาพอนามัย การป้องกัน ควบคุมรักษาโรคภัย และการฟื้นฟูสมรรถ ภาพของประชาน
“การขับเคลื่อนมิติเศรษฐกิจสุขภาพ หรือนำสุขภาพไปสร้างเศรษฐกิจ สร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศ เป็นนโยบายที่เรายกขึ้นมาให้ความสำคัญ จากเดิมที่เราดูแลเฉพาะมิติด้านสุขภาพเรื่องการรักษาพยาบาล การป้องกันโรค การฟื้นฟูสุขภาพ แต่สิ่งหนึ่งที่พบว่าเรามีศักยภาพมากคือในการทำกิจกรรมในระบบบริการสุขภาพ สามารถก่อให้เกิดรายได้ขึ้นมาได้ เราจึงจะยกระดับกระทรวงสาธารณสุขให้นำมิติสุขภาพไปสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศ
โดยมีแนวคิดที่ว่า “คนไทยแข็งแรง ประเทศชาติ มั่นคง เศรษฐกิจเข้มแข็ง เติบโตอย่างยั่งยืน” และนำมาซึ่งนโยบายเศรษฐกิจสุขภาพ ที่เรียกว่า Health for Wealth หรือสุขภาพสร้างความ มั่งคั่ง โดยเริ่มต้นที่การค้นหาต้นแบบ เมืองสุขภาพดี หรือ Wellness Community และจัดทำโครงการ HEALTHY CITY MODELS : เมืองสุขภาพดี วิถีชุมชน คนอายุยืน เปิดตัวนำร่องที่ จ.น่าน และเขตสุขภาพอื่นๆ เขตละ 1 แห่ง และภายในปี 2567 ก็จะผลักดันให้เกิดเมืองสุขภาพดีเพิ่มขึ้นจนครบทุกจังหวัด ตัวเลขเบื้องต้นที่เราเห็นคือ การสร้างเม็ดเงินให้ประเทศ 3-4 หมื่นล้านบาทต่อปี” นพ.ชลน่านฉายภาพเป้าหมายในการนำสาธารณสุขร่วมพลิกฟื้นเศรษฐกิจประเทศ


“ทีมข่าวสาธารณสุข” ขอสรุปแนวทางเศรษฐกิจสุขภาพ ซึ่งได้กำหนดมาตรการไว้ 4 เรื่อง ดังนี้
เรื่องแรก การสร้างเมืองสุขภาพดี วิถีชุมชน คนอายุยืน ค้นหาพื้นที่ที่มีคนอายุยืน และกิจกรรมที่เอื้อให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ประกอบด้วย 7 ปัจจัยที่เป็นต้นทุนสังคมที่ดีคือ กินดี อยู่ดี อารมณ์ดี สติปัญญาดี สิ่งแวดล้อมดี สังคมดี และระบบบริการสุขภาพดี ซึ่งต้องเป็นวิถีชีวิตที่ชาวบ้านปฏิบัติกันอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน เช่น มีวัฒนธรรมการกินอาหารพื้นถิ่นที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นประจำ ได้แก่ ผัก ปลา ไม่เน้นแป้งและน้ำตาล มีการออกกำลังกาย การรวมกลุ่มทำกิจกรรมเพื่อสังคม เด็กมีสติปัญญาดี ผู้สูงอายุมีภาวะสมองตามวัย เป็นต้น เมื่อได้ชุมชนเข้าเกณฑ์ลักษณะดังกล่าวแล้ว กระทรวงสาธารณสุขโดยเข้าไปต่อยอดชุมชนสุขภาพดีให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และเชิญชวนคนไทย คนต่างชาติไปสัมผัสชีวิตของชาวบ้าน โดยจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ เช่น คนในเทศบาลเมืองน่าน ซึ่งพบว่าเป็นคนอายุยืน มีอายุมากกว่า 60 ปีกว่าร้อยละ 30 โดยผู้สูงอายุเหล่านี้กินอาหารปลอดภัย กินผักปลูกเองซึ่งปลอดสารพิษ มีเมนูสุขภาพ เช่น แกงแคไก่ หรือแกงผักอะเย๊าะ อะแยะ มีการรวมกลุ่มออกกำลังกาย เข้าวัดทำบุญ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำให้เป็นคนสุขภาพจิตดี เมื่อเจ็บป่วยก็มีระบบบริการสุขภาพที่ดี ทั้งพบว่า เมืองน่านเป็นชุมชนปลอดภัยระดับโลก ซึ่งเป็น 1 ใน 100 ชุมชนหมุดหมายที่นักท่องเที่ยวต้องการมาเที่ยว ซึ่งการที่เมืองน่าอยู่ ผู้คนสุขภาพแข็งแรง สุขภาพจิตดี มีวัฒนธรรมของตนเอง ก็เป็นสิ่งดึงดูดให้ผู้คนอยากมาสัมผัส มาใช้ชีวิตในชุมชน ที่สำคัญอยู่แล้วปลอดภัย ทั้งอาหารการกิน อากาศดี ก็สามารถนำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจสุขภาพ นำรายได้เข้ามาสู่ชุมชนได้ กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ค้นหาเมืองต้นแบบสุขภาพดี เช่นเดียวกับผู้คนใน
เมืองน่าน นำร่องทุกเขตสุขภาพ สุขภาพละ 1 จังหวัด และวางเป้าหมายว่าจะขยายให้ครบทุกจังหวัดต่อไป
...
สำหรับเมืองสุขภาพดี Healthy City Models ได้รับการคัดเลือกเป็นต้นแบบนำร่อง 12 เขตสุขภาพ รวม 20 แห่ง ได้แก่ 1. “Nan City Models” เทศบาลเมืองน่าน จ.น่าน 2. บ้านแม่จั๊วะ หมู่ 8 จ.แพร่ 3.บ้านมาง จ.พะเยา 4.องค์การบริหารส่วนตำบลม่วงคำ จ.เชียงราย 5.บ้านวังธาร หมู่ 1 จ.เชียงใหม่ 6. บ้านท่าส้มป่อย หมู่ 1 จ.ลำปาง 7. บ้านวังมุย หมู่ 1 จ.ลำพูน 8.บ้านแม่ฮี้ จ.แม่ฮ่องสอน 9.บ้านหาดเสี้ยวเหนือ หมู่ 2 จ.สุโขทัย 10.บ้านนา จ.พิจิตร
11.บ้านหนองหัวลิงใน หมู่ 3 จ.นครนายก 12.บ้านคลองวัว จ.สมุทรสงคราม 13.บ้านเขาตาหน่วย จ.จันทบุรี 14.บ้านหนองแวง หมู่ 8 จ.มหาสารคาม 15.บ้านพิพิธภัณฑ์ หมู่ 13 จ.อุดรธานี 16.บ้านซับรวงไทร จ.ชัยภูมิ 17.โรงเรียนอ่อนหวานวิทยา จ.นครราชสีมา 18.เทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี 19.บ้านไกรสร หมู่ 4 จ.สุราษฎร์ธานี และ 20.บ้านดินลาน จ.สงขลา

เรื่องที่สอง สถานประกอบการที่เอื้อต่อสุขภาพ หรือ Wellness Center ทั้งร้านอาหาร โรงแรม ที่พัก ร้านอาหารริมถนน จะมีการเชิญชวนให้ทำอาหารเมนูสุขภาพ โดยเฉพาะอาหารพื้นถิ่นที่เอื้อต่อสุขภาพที่ดี คนบริโภคแล้วดีต่อสุขภาพดีทั้งเจ้าบ้านและนักท่องเที่ยว หรือในส่วนของโรงแรม รีสอร์ต ที่พักต่างๆ ก็ขอให้มีอาหารเช้าที่เป็นเมนูสุขภาพจากอาหารพื้นถิ่น รวมทั้งจัดทำถนนสายอาหารปลอดภัย เป็น การใช้สุขภาพเป็นตัวนำ ดึงดูดนักท่องเที่ยวเมื่อมาเที่ยวที่เมืองสุขภาพดีแล้ว กลับไปอย่างมีความสุขพร้อมสุขภาพที่ดี โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกัน ทั้งกรมสนับสนุนบริการสุขภาพและกรมอนามัย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตั้งเป้ารับรองศูนย์ เวลเนส 500 แห่ง โดยมีแผนต่อยอดให้เป็นศูนย์เวลเนสอัตลักษณ์ไทย เพื่อรับรองมาตรฐานสถานประกอบการที่ส่งเสริมภูมิปัญญาไทย สมุนไพรไทย อาหารไทยเชิงสุขภาพ ศิลปวัฒนธรรมไทย การนวดไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพให้เกิดการยอมรับในระดับสากล และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศอีกทางหนึ่ง
...
เรื่องที่สาม การออกใบอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพ ทั้งอาหารและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ โดย อย. และกรมการแพทย์แผนไทยฯ ร่วมกันกำหนดแนวทางอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการในเรื่องผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ให้คำแนะนำและ เร่งออกใบอนุญาต ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการผลิต โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน ผลิตภัณฑ์โอทอป ผลิตภัณฑ์วิสาหกิจชุมชน สมุนไพรต่างๆ เมื่อได้รับการรับรองจาก อย.แล้ว ผู้บริโภคก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น โดยสิ้นปี 2566 ได้ออกใบอนุญาตผลิตภัณฑ์ชุมชนไปแล้ว 100 รายการ เช่น ข้าวกล้องพาสต้า ขนมเปี๊ยะไส้ปูนา น้ำพริกปูกะตอย


...
เรื่องที่สี่ การสร้างอาชีพ โดย จัดหลักสูตรการอบรมนวดแผนไทย กิจการสปา ให้ประชาชนที่สนใจเข้ารับการอบรมเพื่อให้สถานบริการที่ทำงานนั้นๆได้รับมาตรฐาน โดยตั้งเป้าการอบรมการนวดเพื่อความงามหรือกิจการสปา 350 แห่ง นวดไทย 5,000 คน
นอกจากการค้นหาเมืองสุขภาพดีและส่งเสริมต่อยอดด้านการท่องเที่ยว หน่วยงานต่างๆ ยังมีการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง รวมทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจสุขภาพเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ อาทิ กรมการแพทย์ โดย สถาบันโรคผิวหนัง จัดตั้งศูนย์ทดสอบมาตรฐานและรับรองคุณสมบัติเวชสำอาง เพื่อยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและเวชสำอางของไทย รวมทั้งให้ผู้บริโภคได้ใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและเวชสำอางของไทยที่มีคุณภาพสูงขึ้น และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ต่างประเทศ สถาบันทันตกรรม จัดตั้งคลินิก Premium ทันตกรรม เพื่อความสวยงามแบบครบวงจรและยกระดับคุณภาพบริการทันตกรรมของประเทศไทย เป็นต้น
“ทีมข่าวสาธารณสุข” เห็นด้วยกับบทบาทใหม่ของกระทรวงสาธารณสุขที่จะเน้นย้ำในปี 2567 เพื่อสร้างความมั่นคง มั่งคั่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศ เพราะบุคลากร ทรัพยากร และศักยภาพที่มีอยู่ของกระทรวงคุณหมอ เป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นว่าจะเป็นอีกแนวร่วมที่สำคัญที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า ที่สำคัญคือสามารถลงลึกถึงครัวเรือนและผลิตภัณฑ์ในชุมชน เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ให้คนไทยลืมตาอ้าปากได้ หลังเจอวิกฤติตกต่ำจากการระบาดของโรคร้ายมาหลายปี

แต่สิ่งที่เราคงต้องขอฝากไว้ก็คือ หน้าที่หลักของกระทรวงสาธารณสุขในการสร้างเสริมสุขภาพอนามัย การป้องกัน ควบคุมรักษาโรคภัย และการฟื้นฟูสมรรถภาพของประชาชน ก็จะต้องยังคงความเข้มข้นไม่น้อยไปกว่าเดิม เพราะโลกยังเผชิญกับโรคร้ายและไวรัสนานาชนิด ที่ยังคุกคามมวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะไวรัสร้ายโควิด-19 ที่ยังคงกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะลดความรุนแรงลง แต่ก็มีประสิทธิภาพแพร่กระจายได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งหากประมาท การ์ดตก ก็อาจจะสร้างความสูญเสียอย่างประเมินค่ามิได้อย่างที่ผ่านมา รวมถึงการเฝ้าระวังโรคอุบัติใหม่อย่างต่อเนื่อง
เมื่อคนไทยสุขภาพดี แข็งแรง ก็จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อให้ปี 2567 เป็นปีที่ “คนไทยไม่เจ็บ ประเทศชาติไม่จน” จากการแพทย์เพื่อสุขภาพคู่ปากท้อง.



ทีมข่าวสาธารณสุข
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่