บัดดลนั้น...ขณะ “ผู้นำไทย” หันหลังขึ้นเครื่องบินไปประชุมผู้นำเอเปก ครั้งที่ 30 ที่นครซานฟรานซิสโก และปาฐกถาพิเศษแก่นักลงทุนอเมริกันว่า “เวลานี้เมืองไทยเศรษฐกิจกำลังก้าวหน้าเหมาะเหม็งกับการหอบเงินลงทุน”รายงานข่าวกล่าวว่า...เวลาเดียวกัน ซีอีโอสาวแกนนำตลาดท่องเที่ยวได้ใช้เวทีสนามบินสุวรรณภูมิให้สัมภาษณ์สื่อผ่านแนวคิดจะดึง “หมาต๋า” หรือ “โปลิสจีน” มาลาดตระเวนคุ้มครองความปลอดภัยทัวริสต์จีนให้มั่นใจเต็มคาราเบล และพวก “มิจฯ” จีนที่มีคดีติดตัวก็มักกลัวหมาต๋าเหล่านี้มากกว่าโปลิสไท่กั๋วรายละเอียดข่าวระบุด้วยว่า...ดราม่านี้ได้ก๊อบปี้แบบอย่างมาจากพิมพ์เขียวอิตาลี แหล่งชุมนุมยิปซีชิงเงินนักท่องเที่ยวระดับโลก เลยต้องมีหมาต๋าจีนไปคุ้มครองเหล่ามังกรเมื่อปี 2016 แต่ไม่มีรายละเอียดที่บอกว่าในปี 2019 ต้องโละทิ้งมาตรการนี้ด้วยเพราะสาเหตุใด...และไทยกำลังจะสแกนมาใช้บ้าง?ทันทีที่ข่าวนี้เผยแพร่แค่ข้ามคืนก็เกิดกลายเป็นสายล่อฟ้าให้ทัวร์ลงยุบยับ จนต้องรีบพับเก็บโครงการใส่ลิ้นชัก สารภาพเป็นความผิดตรง “การสื่อสาร” จึงทำให้เกิดความไม่เข้าใจในเจตนา...แน่นอนว่าสถานการณ์นี้ “คนทำทัวร์” จึงพากันโล่งอก และ “คนร่วมงาน” ก็พากันโล่งใจที่ไม่ต้องเดินดงไปตามนั้นเมนต์นี้คนในวงการทัวร์อดห่วงไม่ได้กับเทรนด์คนทำงานยุคใหม่ที่มักมีแนวคิดอะไรแปลกๆให้สังคมรับได้และรับไม่ได้ จึงขอเตือนสติไว้เป็นบทเรียนว่าครั้งนี้เสมือนฝันร้ายพึงจดจำ เพื่อผู้นำจะได้แสดงภาวะอย่างมีวิชันผูกโบว์ให้ประเทศอย่าให้ใครพูดลือกันไปได้ว่า...เพราะปัจจุบันใครจะผงาดขึ้นนั่งตำแหน่งนักบริหารระดับสูง มักอาศัยระบบ “โยมอุปฐาก” มากกันทั้งนั้น...บนเส้นทางการทำงานบริหารจริงๆจึงเต็มไปด้วยปัญหา พุ่งเป้าต่อ...กรณีการคิดแก้ไขปัญหา “ทัวร์จีน” ที่เคยทำเป้าได้ถึงปีละ 11 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 5.43 แสนล้านบาท ก่อนจะถูกพิษโควิดพ่นใส่ในปี 2562 เป็นต้นมา และคิดว่าไตรมาสสุดท้ายปลายปีนี้ เมื่อโควิดแผ่วลงบ้างแล้วน่าจะปั้นตัวเลขจีนทั้งปี 4.4 ล้านคนคงต้องย้อนอดีตวันวานมาบอกกล่าวเล่าสิบ อดีตบุคลากรรหัสร่วม “ราชดำเนิน 1” กับวงการสีกากี เล่าว่า“ปัญหากาฝากที่เกาะกินท่องเที่ยวไทยมาแต่ไหนแต่ไรก็คือบรรดาผู้ประกอบการร้านค้าอัญมณีที่ชอบค้าแบบเอารัดเอาเปรียบโก่งราคาสินค้าเกินมาตรฐาน 2-4 เท่า โดยกฎหมายไม่สามารถทำอะไรได้”เนื่องด้วยผู้ซื้อ...ผู้ขายตกลงสมยอมกันเอง...อย่างนี้ไม่ถือเป็นการฉ้อโกงอีกกลุ่มคือโรงแรม...ที่ขณะนั้นห้องพักโอเว่อร์ซัพพลายกับจำนวนนักท่องเที่ยว การแข่งขันจึงมีขึ้นอย่างสะบั้นหั่นแหลก...“เอเย่นต์ขายทัวร์ก็เหมือนกันแค่ตั้งโต๊ะ 1 ตัว โทรศัพท์ 1 สาย หลอกขายรับเงิน นักท่องเที่ยวได้แล้ว กว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอกต้มตุ๋นก็เมื่อถึงเวลาออนทัวร์”ปรากฏว่า...เอเย่นต์ ทัวร์ทิพย์เหล่านี้ ได้ล่องหนหายหัวไปตั้งโต๊ะโทรศัพท์ขายที่ใหม่กันแล้วพฤติกรรมนี้ไม่มีหน่วยงานใดเข้าไปควบคุมดูแล ปล่อยให้มีเรื่องร้องเรียนทำลายภาพลักษณ์ประเทศกันอยู่ประจำวิธีแก้ที่ทำได้ทางเดียวเวลานั้น ได้แก่ การนำร่างพระราชบัญญัติเสนอสภา 2 ฉบับว่าด้วยการยกฐานะองค์กรให้สูงขึ้น อีกฉบับจัดระเบียบธุรกิจท่องเที่ยวในยุทธจักรร้านจิวเวลรี โรงแรม เอเย่นต์ทัวร์กับมัคคุเทศก์“สภาโหวตผ่านเพียงฉบับแรกเมื่อปี พ.ศ.2522 แต่ฉบับที่สองถูกตีตก เพราะผู้ทรงเกียรติสมัยนั้นหลายคนเป็นเจ้าของธุรกิจท่องเที่ยวเกรงกระทบกิจการของตน” ทางออกจึงถึงจุดลงตัวที่กรมตำรวจยุคเก่าจัดตั้ง “ตำรวจท่องเที่ยว” ขึ้นใน กก.8 กองปราบปรามสามยอด ปี 2525 ยุค พล.ต.ต.สงวน คล่องใจ เป็นผู้บังคับการ พ.ต.อ.ณัฐ มีนะกนิษฐ์ เป็นรองฯ มีกำลังตำรวจ 60 นาย นำโดย ร.ต.อ.บุญฤทธิ์ รัตนะพร (ยศขณะนั้น) รับหน้าที่หัวหน้าชุดบริการตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ไหนจะคุ้มครองความปลอดภัย รับเรื่องร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ ลาดตระเวนตรวจตรายังแหล่งท่องเที่ยวกับย่านชุมชน“ครั้งนั้นถูกใจเอกชนในภาคธุรกิจท่องเที่ยวระดับหนึ่ง” ราชดำเนิน 1 ว่า“ถึงขั้นบริจาคเงินซื้อรถยนต์ มอไซค์ วิทยุสื่อสารให้ใช้งานโดย หน่วยงานท่องเที่ยวสนับสนุนงบค่าน้ำมัน เบี้ยเลี้ยงเจ้าหน้าที่ จากนั้นต่อมาตั้งเป็นศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว แล้วปรับเปลี่ยนเป็นกองบังคับการและกองบัญชาการ ถึงวันนี้มีบิ๊กตำรวจทัวร์หลายนายผงาดขึ้นระดับอินทรีปทุมวัน”และ...นัยว่าเต็งหนึ่งเตรียมติดปีกรอขึ้นพญาอินทรีปีหน้าฝุ่นควันยังไม่จาง คงจะยังพอจำกันได้ว่า...ดราม่ากระแสดึงตำรวจจีนนี้นั้น ทำเอาผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติถึงลมออกหูกับข่าวที่สะพัด เมื่อโครงการหมาต๋าจีนมีทีท่าว่าจะเป็นไปได้ จึงรีบออกมาปฏิเสธลั่นในวันเดียวกัน “ไม่เคยคิดจะทำ! เพราะเป็นการล่วงล้ำอธิปไตยและความมั่นคงภายในประเทศ”ฟากฝั่งสมาชิกองค์กรท่องเที่ยวภาคเอกชนรายหนึ่ง ที่อาชีพหลักฝากผีฝากไข้ไว้กับทัวร์จีน ยอมรับตามตรง เสริมว่า...“จีนเป็นบิ๊กมาร์เกตของไทยมานานหลายทศวรรษ แต่ขอพูดนะ...รัฐบาลไทยสองคณะที่ผ่านมา มักให้ความสำคัญตลาดนี้อย่างออกหน้า โดยปล่อยตลาดอื่นๆซึ่งมีศักยภาพในการจับจ่ายสูงกว่า แต่จำนวนแพ็กน้อยกว่า จึงได้แต่ปล่อยให้โตเองตามมีตามเกิด”สมาชิกรายนี้แม้จะมีธุรกิจผูกพันกับตลาดที่ว่า ทว่าไม่เห็นด้วยกรณีที่เราจะผูกขาดตลาดนี้ จนกลายเป็นเงื่อนไขที่จีนสามารถต่อรองได้ในหลายประเด็นเห็นผลชัดเจนก็ตอนเกิดปัญหาการแพร่ระบาดโรคโควิดนักท่องเที่ยวจีนมีค่าเท่ากับตัวเลข “ศูนย์” โดย “สูญ” หายไปจาก เมืองไทยอย่างไม่เคยปรากฏ ทิ้งผู้ประกอบการแรงงานต้องรับกรรมในที่สุด “สถานการณ์เพิ่งคลี่คลายสองปีนี่เอง...แต่เราก็ได้เพียงนักท่องเที่ยวจีนจับฉ่าย เพราะรัฐบาลมุ่งแต่จำนวนไม่เจาะกลุ่มเจ้าสัวคุณภาพตัวจริงเสียทีอย่างที่พูด”มาถึงซีนสุดท้าย...ที่คิดจะนำไอเดียจ๊าบมาเขียนคอนเทนต์ใหม่แก้ปัญหาให้ทัวร์จีน ด้วยการดึงแดนหมาต๋ามังกรมาเดินยุ่มย่ามตามแหล่งท่องเที่ยวไทย วงสนทนาถึงโจษกันเซ็งแซ่ในช่องทางออนไลน์...“เราอาจเพลี่ยงพล้ำถ้าขบวนการเอไอสมุนมหาอำนาจชาติตะวันออก จะถือโอกาสแฝงมาขุดเก็บข้อมูลบางอย่างเพื่อใช้ประโยชน์ ในอนาคตเพิ่มเติม”ดูแต่วันนี้... ประเทศไทยเหมือนมีมณฑลใหม่อันดับที่ 24 ให้จีน ได้แก่ “มณฑลห้วยขวาง” ซึ่งเต็มไปด้วย “ตึ่งนั้ง” ยั้วเยี้ยไปหมดแล้วนี่เราเปิด “ฟรีวีซ่า” อย่างเดียวไม่พอยังจะเปิด “ฟรีหมาต๋า” ตามมา? เพื่อส่งเสริมตลาดท่องเที่ยวเฉพาะจีนขึ้นมาอีก ดีแต่ว่าเก็บใส่ลิ้นชักทัน ไม่อย่างนั้น...ไอ้หยา! ซี๊เลี้ยวอ่า “ไท่กั๋ว”.คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม