เดือนพฤศจิกายนของทุกปีเป็น “เดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว” ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เห็นชอบเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.2542อย่างไรก็ตาม หากมองถึงสถานการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมา ดูจะมีดีกรีเพิ่มจำนวนมากขึ้น สะท้อนจากข่าวความรุนแรงการทำร้ายเด็ก สตรี คนในครอบครัว ที่ปรากฏตามสื่อต่างๆมากมาย ขณะที่ข้อมูลจาก ศูนย์ปฏิบัติการกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) รายงานการช่วยเหลือผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว ปีงบประมาณ 2566 (ต.ค.2565-ก.ย.2566) ทั้งสิ้น 2,312 ราย จังหวัดที่มีความรุนแรงมากที่สุด 5 อันดับแรกคือ กรุงเทพมหานคร 202 ราย ราชบุรี 84 ราย เชียงราย 77 ราย เชียงใหม่ 55 ราย และกาญจนบุรี 54 ราย ผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรงมากที่สุดเป็นเพศหญิง 1,931 ราย อายุที่ถูกกระทำมากที่สุดคือ 36-59 ปี 874 ราย ทั้งยังมีทารกแรกเกิด-6 ขวบ 27 ราย รูปแบบเป็นความรุนแรงด้านร่างกาย 54.5% ด้านจิตใจ 36.3% ทางเพศ 7.5% มีผู้เสียชีวิตถึง 1.7% ส่วนผู้กระทำมากที่สุดเป็นวัยกลางคน 36-59 ปี 1,281 ราย นายวราวุธ ศิลปอาชาส่วนสถิติการให้บริการของ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 พม. ปีงบประมาณ 2566 มี 4,127 ราย เป็นความรุนแรงภายในครอบครัว 2,778 ราย ภายนอกครอบครัว 1,347 ราย ผู้ถูกกระทำเป็นเพศหญิง 3,024 ราย พื้นที่เกิดเหตุมากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร 1,041 ราย รูปแบบเป็นการทำร้ายร่างกายมากที่สุด รองลงมาคือถูกล่วงละเมิดทางเพศและถูกกระทำอนาจารนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พม. เปิดเผยว่า การกำหนดให้เดือน พ.ย.ของทุกปีเป็นวัน “เดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว” เพื่อกระตุ้นให้ทุกคน ทุกภาคส่วนของสังคมเห็นความสำคัญต่อการไม่ยอมรับไม่นิ่งเฉย และไม่กระทำความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัวทุกรูปแบบ โดยใช้ริบบิ้นสีขาว “White Ribbon” เป็นสัญลักษณ์สากลที่ใช้รณรงค์ หากพบเห็นการกระทำความรุนแรงในสังคม สามารถแจ้งเหตุได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. 1300 หรือ ผ่าน Line OA “ESS Help Me” เพียงกดเพิ่มเพื่อน @esshelpme ซึ่ง ทีม “พม. หนึ่งเดียว” และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมช่วยเหลือเต็มที่ ล่าสุดพม.ยังได้เปิด ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) เป็นศูนย์กลางช่วยเหลือทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งกำกับ ควบคุม ส่งต่อ และติดตามการช่วยเหลือและคุ้มครองสวัสดิภาพ ผ่านการปฏิบัติการของหน่วยเคลื่อนที่เร็วจากทีมสหวิชาชีพ รวมทั้งสร้างการรับรู้ให้ทุกภาคส่วนร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคม ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท“คงต้องฝากไปถึงเพื่อนบ้านและชุมชน มาถึงวันนี้คงไม่สามารถพูดได้ว่า “ธุระไม่ใช่” ทุกคนต้องช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่อง เพราะเวลาเกิดเหตุ ผู้พบเห็นสามารถป้องกันไม่ให้เด็กหรือเหยื่อผู้ถูกกระทำถูกทำร้าย ซึ่งบางครั้งอาจถึงขั้นพิการหรือหนักสาหัสถึงขั้นสูญเสียชีวิตได้ ขณะเดียวกันการเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวเป็นอีกมาตรการสำคัญ เริ่มตั้งแต่ความเข้าใจการมีครอบครัว การอยู่ร่วมกันที่ต้องปรับอุปนิสัยใจคอ ให้อภัยซึ่งกันและกัน แต่บางครั้งสภาพแวดล้อมด้านสถานะทางสังคม ค่าครองชีพ การหางานทำ อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจ ซึ่งบางครั้งถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของความรุนแรงกับคนในบ้าน ดังนั้นชุมชนรวมถึงอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เป็นอีกกลไกสำคัญที่จะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาครอบครัว จึงได้เน้นย้ำขอให้ทำงานเชิงรุก เข้าไปพบปะพูดคุยกับพี่น้องประชาชนเพื่อรับทราบปัญหาและนำไปสู่การแก้ไขตั้งแต่ต้นทางให้มากขึ้น” นายวราวุธ ย้ำถึงมาตรการ ด้าน ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท ที่ปรึกษาแผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ สมาคมเพศวิถีศึกษา กล่าวว่า คนในสังคม ขณะนี้มีความรู้สึกว่าความรุนแรงในครอบครัวและการล่วงละเมิดทางเพศเพิ่มมากขึ้น ในแง่มุมหนึ่งเป็นข้อมูลจากการลงพื้นที่ชุมชนรับรู้ได้ว่าปัญหาเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังพบมิติของยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องมากกว่าเมื่อก่อน และครอบครัวหรือชุมชนก็ไม่รู้จะจัดการปัญหาอย่างไร ขณะที่ระบบบริการก็ไม่มีรองรับ อีกแง่มุมก็เป็นไปได้ว่าเป็นเพราะสื่อและสังคมให้ความสนใจปัญหามากขึ้น อย่างไร ก็ตามชาวบ้านส่วนใหญ่หวังพึ่งตำรวจ แต่หลายพื้นที่ ตำรวจไม่ให้ความสำคัญ ส่วนกลไกการช่วยเหลือของ พม.ที่มีศูนย์ป้องกันการกระทำความรุนแรงในครอบครัวก็อยู่แค่ระดับจังหวัด แต่พื้นที่ห่างไกลเข้าถึงได้ยาก ทั้งเจ้าหน้าที่ที่มีประสบการณ์และเข้าใจปัญหาก็มีน้อย จึงฝากภาครัฐที่จะต้องเสริมศักยภาพคนทำงานด้านนี้อย่างต่อเนื่อง สร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับทีมสหวิชาชีพ และภาคประชาสังคม เพื่อให้ระบบการแจ้งเหตุและการช่วยเหลือได้รับการตอบสนองอย่างแท้จริง สำหรับกลไกระดับประเทศ ซึ่งขณะนี้ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 อยู่ระหว่างปรับแก้ หากได้รับการแก้ไขจะช่วยให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากมีการปรับแก้ทั้งนิยามความรุนแรงในครอบครัวที่เพิ่มความเกี่ยวโยงมิติเรื่องเพศด้วย และครอบคลุมถึงกลุ่มหลากหลายทางเพศ รวมทั้งปรับกระบวนการระงับเหตุที่ให้พยายามไกล่เกลี่ยเพื่อรักษาความเป็นครอบครัวก่อน เป็นสิ่งที่ขัดกับหลักการคุ้มครองผู้ถูกกระทำ จึงปรับแก้ให้มุ่งเน้นคุ้มครองผู้ถูกกระทำก่อน ส่วนการรักษาความเป็นครอบครัวเป็นกระบวนการภายหลังที่ต้องมีทีมวิชาชีพร่วมจัดการวางแผนเป็นรายเคส นายจะเด็จ เชาวน์วิไลส่วน นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า การบริหารงานที่ยึดระบบราชการเป็นศูนย์รวมสั่งงานจากระดับบนสู่ล่าง ต่างคนต่างทำ ไม่บูรณาการ ทำให้ปัญหายังคงวนเวียนไม่ได้รับการแก้ไข ขณะที่การปรับเปลี่ยนค่านิยมชายเป็นใหญ่ก็เป็นไปอย่างช้าๆ รวมถึงสื่อต่างๆยังไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องการเคารพสิทธิในเนื้อตัวบนร่างกาย ทำให้ปัญหาการคุกคามทางเพศ ความรุนแรงต่างๆยังไม่ลด ที่น่าห่วงอีกประเด็นคือปัจจัยเสี่ยงจากยาเสพติด รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นตัวกระตุ้นก่อให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น เป็นโจทย์ใหญ่ที่หวังรัฐบาลชุดนี้จะให้ความสำคัญ โดยเฉพาะพม.ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ลำพัง ต้องบูรณาการร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคประชาสังคมให้เกิดการทำงานที่เห็นผลอย่างจริงจัง ทีมข่าวการพัฒนาสังคม เห็นด้วยที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันสร้างความตระหนักของสังคมด้วยการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนทุกเพศทุกวัย รวมถึงเสริมสร้างความเข้มแข็งและความเข้าใจของสถาบันครอบครัวอีกสิ่งที่เราต้องขอฝากไว้คือ ความจริงใจและจริงจังของภาครัฐในการลดปัจจัยเสี่ยงทั้งหลาย รวมถึงการสร้างสำนึกกับสังคมให้ตระหนักว่า “ความรุนแรง” ไม่ใช่เรื่อง “ธุระไม่ใช่” แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องช่วยป้องกันไม่ให้ใครต้องตกเป็น “เหยื่อ”เพื่อสร้างเกราะป้องกันความรุนแรงทุกรูปแบบอย่างแท้จริง.ทีมข่าวการพัฒนาสังคมอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่