คอหวยเตรียมเฮ เมื่อ “คณะรัฐมนตรี” เห็นชอบออกสลากกินแบ่งรัฐบาลดิจิทัลแบบใหม่ “รูปแบบตัวเลข 6 หลัก (L6)” คาดว่าจะดำเนินการได้ในปี 2566 “รูปแบบตัวเลข 3 หลัก (N3)” ที่น่าจะเริ่มจำหน่ายได้ในปี 2567 เพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายสลากเป็นทางเลือกให้ประชาชนซื้อหวยถูกกฎหมายมากขึ้น

สำหรับรูปแบบ “สลาก L6” จะมีหมายเลข 6 หลัก แต่ละหลักมี 10 หมายเลขตั้งแต่ 0 ถึง 9 (000000-999999) ลักษณะเดียวกับลอตเตอรี่ที่ขายกันในปัจจุบันเพียงแต่ปรับเปลี่ยนเป็นแบบดิจิทัล “ไม่มีการพิมพ์สลาก” ด้วยการจำหน่ายผ่านช่องทางแอปพลิเคชันเป๋าตังออกผลรางวัลทุกวันที่ 1 และวันที่ 16 ของเดือน

ถัดมาคือ “สลาก N3” เป็นสลากสมทบเงินรางวัลไม่เกิน 1 งวด หากไม่มีผู้ถูกรางวัลอีกเงินจะตกเป็นรายได้แผ่นดิน ซึ่งมีให้เลือกหมายเลข 3 หลัก ตั้งแต่ 000-999 โดยไม่กำหนดหมายเลขไว้ล่วงหน้า และผู้ซื้อเลือกเลขให้ครบ 3 หลัก สามารถเลือกเลขแต่ละหลักซ้ำกันได้ รวมถึงทุกครั้งที่ซื้อ 1 รายการจะได้เลขรางวัลพิเศษ 1 หมายเลข

...

เน้นจำหน่ายเฉพาะผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังออกผลทุกวันที่ 1 และวันที่ 16 ของเดือน ในส่วนเงินรางวัล 1 ใบ มีสิทธิ์ถูกรางวัล 4 รางวัล คือ 3 ตัวตรง 3 ตัวสลับ 2 ตัวตรง และมีโอกาสถูกรางวัลแจ็กพอต ด้วยการหารสัดส่วนตามผู้ถูกรางวัล ลักษณะจัดสรร 60% เป็นเงินรางวัล 23 % รายได้แผ่นดิน 17 % เป็นค่าใช้จ่ายการบริหารงาน

เรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งใหม่ในสังคมไทย “ยุครัฐบาลทักษิณ” ก็เคยออกเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว (หวยบนดิน) จำหน่าย 20 บาท 50 บาท และ 100 บาท “เปิดให้ผู้ค้ารายย่อยลงทะเบียนเป็นผู้จำหน่าย” อัตราเงินรางวัลเลข 2 ตัว จ่ายบาทละ 55 บาท และเลข 3 ตัว บาทละ 400 บาท สุดท้ายกลายเป็นคดีออกหวยบนดินโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

เพราะไม่คำนึงถึงวัตถุประสงค์การออกสลากเป็นลักษณะเดียวกับ “หวยใต้ดินมอมเมาประชาชน” คราวนั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาจำคุกผู้ที่เกี่ยวข้องหลายคน

กระทั่งมาปัดฝุ่นใหม่ในยุค “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ” ด้วยการปรับกฎหมายเปิดช่องให้ สนง.สลากฯออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ในเรื่องนี้ รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ ผอ.ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน เล่าว่า หากย้อนดูยุครัฐบาลทักษิณทำหวยบนดินจนเป็นคดีความนั้น เพราะทำคล้ายกับ “หวยใต้ดิน” เพียงแต่มีรัฐเป็นเจ้ามือ

ลักษณะการขายไม่จำกัดวงเงินเล่น และไม่จำกัดวงเงินรางวัลจ่าย “ต่างจากสลากกินแบ่งรัฐบาล” ดังนั้นการออกเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว เป็นลักษณะหวยใต้ดินทำให้ สนง.สลากฯมีโอกาสขาดทุนได้รับความเสียหายได้ จึงไม่เป็นไปตามกรอบ สนง.สลากฯ แห่ง พ.ร.บ.สนง.สลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ.2517

รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์
รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์

แตกต่างจากคราวนี้ “แก้กฎหมายใหม่” ทำให้สามารถออกสลาก L6 เพื่อไม่ต้องพิมพ์สลากเป็นใบด้วยการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ “อันจะนำมาทดแทนลอตเตอรี่แบบใบ” เพราะปัจจุบันลอตเตอรี่แบบใบมีการจำหน่ายผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังอยู่แล้วราว 20 ล้านใบ และขายในท้องตลาดทั่วไป 80 ล้านใบ

ทำให้ถูกมองว่า “การผลิตลอตเตอรี่ใบมีต้นทุน” ก็เลยปรับรูปแบบให้เป็นดิจิทัลจำหน่ายผ่านระบบออนไลน์ “เพิ่มความสะดวกต่อการซื้อขาย และจ่ายเงินรางวัล” เพราะระบบจะผูกบัญชีกับผู้ซื้อโดยตรง ในส่วนรูปแบบจะให้บริษัทเอกชน หรือ สนง.สลากฯ เป็นผู้จำหน่ายนั้น ในเรื่องนี้ต้องให้ สนง.สลากฯชี้แจงรายละเอียด

...

เบื้องต้นทราบว่า “สลากใบ และสลากดิจิทัล” จะออกมาจำหน่ายรวมกันไม่เกิน 100 ล้านใบ อันเป็นยอดเดิมที่ขายอยู่ในปัจจุบันนี้ ทำให้คิดว่าไม่น่าจะเพิ่มปัญหาส่งผลกระทบต่อด้านสังคมไปมากกว่าเดิม

ปัญหาข้อกังวลคือ “การจัดสรรเงินรายได้” ด้วยปัจจุบันสัดส่วนรายได้ลอตเตอรี่ 1 ใบ มีการแบ่ง 60% เป็นเงินรางวัล 23% เป็นเงินต้องส่งเข้ารัฐ 12% เป็นรายได้โควตาผู้ค้ารายย่อย และ 5% เป็นรายได้ผู้ค้าส่งลักษณะแยกกรณีถ้าเป็นองค์กรการกุศลได้ 2% และอีก 3% จะเป็นส่วนของ สนง.สลากฯ เกี่ยวกับต้นทุนการผลิต

ถ้าสมมติว่า “สลากดิจิทัลออกมาจำหน่าย” ที่จะต้องมุ่งขายเฉพาะผ่านออนไลน์อันเป็นระบบเทคโนโลยีบริการจัดการให้ทั้งหมดจนแทบจะไม่มีต้นทุนเลยด้วยซ้ำ สิ่งนี้จะทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายต้นทุนผลิต และอาจไม่จำเป็นต้องมีผู้ค้าคนกลางส่งผลให้ สนง.สลากฯจะได้สัดส่วนเพิ่มเป็น 17% อันเป็นตัวเลขค่อนข้างสูงมากเกินไป

เพราะต้องอย่าลืมว่า “สลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นกิจการผูกขาดของรัฐ” เมื่อสลากดิจิทัลเข้ามาจัดการทำให้ลดต้นทุนลง “ผลประโยชน์ส่วนนี้” ควรต้องคืนให้รัฐมากกว่า 23% หรืออาจจะนำเงินส่วนนี้ไปจัดตั้งกองทุนเพื่อสาธารณประโยชน์เหมือนดั่งในหลายประเทศทำกันอยู่ปัจจุบันนี้

...

นอกจากนี้ “โควตาผู้ค้ารายย่อย 12%” ควรจัดสรรให้เป็นของกลุ่มคนที่ภาครัฐต้องดูแลอย่างเช่น “คนยากจน คนพิการ” เพื่อสร้างรายได้ในการลดภาระของภาครัฐ “ไม่ควรปล่อยให้เป็นโควตาของบุคคลทั่วไป” แล้วยิ่งมีกระแสจะให้บริษัทเอกชนเป็นผู้รับสัมปทานดำเนินการที่อาจกลายเป็นเสือนอนกินอย่างน้อย 2% หรือไม่

ต่อมาในส่วน “สลาก N3” ก่อนหน้านี้ สนง.สลากฯระบุสาเหตุการออกสลากนี้เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนซื้อสลากแบบถูกกฎหมาย “แข่งขันกับหวยใต้ดิน” ทั้งยังเป็นแหล่งสร้างรายได้ใหม่เพิ่มขึ้น ฉะนั้นถ้าหากสามารถดึงลูกค้าออกจากหวยใต้ดินแล้วหันมาซื้อสลาก N3 ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง

แต่ข้อกังวลคือ “อาจทำให้คนไทยเล่นหวยมากขึ้น” ด้วยการซื้อทั้งหวยใต้ดิน และหวยบนดินควบคู่กันไป เพราะตามการสำรวจพฤติกรรมคนเล่นพนัน พบว่าการพนันมักเล่นเฉลี่ยคนละ 2 ชนิดขึ้นไป

...

แม้แต่อดีตสมัยก่อน “คนไทยก็มักซื้อลอตเตอรี่เฉลี่ย 1 ใบต่อคน” แต่เมื่อรัฐบาลมีการออกสลากเพิ่มมากขึ้น แล้วยิ่งกว่านั้นบางส่วนถูกนำมารวมเป็นเลขหวยชุด “ประโคมข่าวผู้ถูกรางวัลร่ำรวยกันทุกงวด” กลายเป็นการกระตุ้นความอยากให้คนอื่นต่างพากันหันมาซื้อลอตเตอรี่มากขึ้นเฉลี่ยคนละ 2 ใบขึ้นไปเช่นกัน

เพราะหลายคนคาดหวัง “อยากถูกรางวัลใหญ่” ที่จะสามารถยกฐานะความเป็นอยู่ได้ แต่ความจริงแล้ว “คนซื้อลอตเตอรี่มักจะเสียเงินมากกว่าถูกรางวัล” ทำให้ต้องได้รับความเดือดร้อนไม่มีเงินเพียงพอใช้จ่ายในครัวเรือนกันอยู่มากมาย เพียงแต่ว่าคนกลุ่มนี้ไม่ปรากฏเป็นกระแสข่าวเท่านั้นเอง

“ต้องเข้าใจว่าคนเล่นพนันมีทั้งต้องการความสนุก และกลุ่มหวังรางวัลใหญ่ให้ตัวเองร่ำรวย เหตุนี้ถ้ามีการโฆษณาเกี่ยวกับคนถูกหวยจนร่ำรวยก็เท่ากับกระตุ้นชวนเชื่อให้คนอื่นหันมาเล่นหวยกันเยอะขึ้น ดังนั้นถ้าจะออกสลาก N3 ก็ไม่ควรมีการโฆษณาประโคมข่าว เพื่อป้องกันการเพิ่มขึ้นของนักเล่นหน้าใหม่” รศ.ดร.นวลน้อย ว่า

ย้อนกลับมาในส่วนประเด็น “สลาก N3 สามารถช่วยลดหวยใต้ดินให้น้อยลงได้หรือไม่” ในเรื่องนี้ยังมองฉากทัศน์ไม่ชัดเจนมากนัก ด้วยข้อจำกัดของสลาก N3 ไม่อาจกำหนดเงินรางวัลแต่ละงวดได้ ทำให้ผู้เล่นไม่อาจทราบได้เลยว่า “ถูกรางวัลจะได้รับเงินเท่าใด” คงต้องรอจนกว่ามีการประกาศผลคนถูกรางวัลทั้งหมดก่อน

ยิ่งกว่านั้นตามการสำรวจความคิดเห็นประชาชนมักเชื่อเสมอว่า “สนง.สลากฯสามารถล็อกหวยได้” ด้วยสมัยก่อนผลประโยชน์เลขท้าย 3 ตัว “ตกอยู่กับเจ้ามือหวยใต้ดิน” ผู้เล่นไม่อาจเรียกร้องอะไรได้ แต่ตอนนี้ “สนง.สลากฯกำลังจะเป็นทั้งเจ้ามือ และผู้ออกผลสลาก” อาจส่งผลให้ผู้เล่นไม่ชอบใจคงซื้อหวยใต้ดินดังเดิมก็ได้

ทว่าสำหรับ “ข้อดีของการออกสลาก N3” แน่นอนว่าการซื้อหวยกับภาครัฐสามารถมั่นใจได้ “ไม่มีเบี้ยวเงินรางวัล” นอกจากนี้ภาครัฐยังสามารถควบคุมการขายให้เด็กต่ำกว่า 20 ปีได้ เพราะการซื้อผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังมักมีระบบคัดกรองลงทะเบียนยืนยันตัวตน เพื่อเข้าระบบก่อนการซื้อสลาก N3 อย่างเข้มงวด

ฉะนั้น “สลากแบบใหม่ L6 N3” ต้องไม่โฆษณาจุดประกาย “ตัวเงินรางวัล” ที่จะเกิดการยั่วยุให้ประชาชนพากันหันมาซื้อหวยเยอะขึ้น กลายเป็นการเล่นพนันเติบโตในสังคมมากเกินจะสามารถควบคุมได้.

คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม