คนไทยรอต้อนรับ “พลายศักดิ์สุรินทร์ 1 ใน 3 ช้างทูตสันถวไมตรี” ที่รัฐบาลไทยส่งมอบให้รัฐบาลศรีลังกาตั้งแต่ปี 2544 กลับสู่มาตุภูมิประเทศไทยในวันที่ 2 ก.ค.2566 เพื่อทำการรักษาอาการเจ็บป่วย

หากย้อนดูเมื่อ 22 ปีก่อนนั้นด้วย “ประเทศศรีลังกา” มีหนังสืออย่างเป็นทางการขอลูกช้างเพศผู้จาก “ประเทศไทย” โดยรัฐบาลศรีลังกานำพลายศักดิ์สุรินทร์ หรือชาวศรีลังกาเรียกว่ามุทุราชา (Muthu Raja) ส่งมอบต่อให้วัด Kande Vihara เป็นผู้ดูแลใช้เชิญพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในงานประจำปีศรีลังกามานาน 22 ปี

กระทั่งปี 2565 “องค์การด้านการพิทักษ์สิทธิสัตว์ในศรีลังกา” (Rally for Animal Rights & Environment (RARE)) มีความกังวลต่อพลายศักดิ์สุรินทร์ถูกใช้งานหนักไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม จนมีอาการป่วยสภาพผอมโซ ผอมแห้ง กระดูกหลังโก่งนูน ขาหน้าด้านซ้ายผิดปกติงอไม่ได้จำเป็นต้องได้รับการรักษาเร่งด่วน

ทำให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เดินทางไปประเทศศรีลังกา “หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและตรวจสุขภาพช้าง” ก่อนเคลื่อนย้ายพลายศักดิ์สุรินทร์ไปสวนสัตว์แห่งชาติเดหิวารา (Dehiwala) เพื่อรักษาฟื้นฟูเบื้องต้นภายใต้การดูแลจากผู้เชี่ยวชาญไทยและศรีลังกา

...

แล้วเห็นควรว่า “ต้องนำช้างเชือกนี้กลับมารักษาในประเทศไทย”แต่ด้วยพลายศักดิ์สุรินทร์นั้นถูกมอบเป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศศรีลังกาไปแล้ว ทำให้ต้องทำเรื่องเสนอขอคืน “รัฐบาลศรีลังกา” ก็เห็นชอบในการนำกลับมาประเทศไทยครั้งนี้โดย วราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(รมว.ทส.) เล่าให้ฟังว่า

จริงๆแล้ว “ทส.” เตรียมนำพลายศักดิ์สุรินทร์กลับมาประเทศไทยตั้งแต่ต้นปี “มีการประชุมหารือทีมแพทย์ไทย และรัฐบาลศรีลังกา” ในการประเมินความพร้อมจนมีข้อสรุปสามารถนำกลับมาได้ในวันที่ 2 ก.ค.2566

วราวุธ ศิลปอาชา
วราวุธ ศิลปอาชา

แต่ก่อนนำกลับมานี้ “ต้องเตรียมตัวช้างให้พร้อมเดินทางด้วยเครื่องบิน” ทำให้มีการคัดเลือกควาญช้างที่มีประสบการณ์ 4 คน ทำงานร่วมกับคณะสัตวแพทย์ ทส.เดินทางไปศรีลังกาตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย.2566 เพื่อดูแลสุขภาพ สร้างความคุ้นเคย และฝึกให้พร้อมด้านต่างๆ แล้วพลายศักดิ์สุรินทร์ก็ตอบโต้สื่อสารกับควาญช้างได้ดี

ในส่วน “กรงมีการออกแบบเป็นกรณีพิเศษ” สำหรับใช้ขนย้ายช้างน้ำหนัก 3.5 ตัน เพื่อนำขึ้นบนเครื่องบินแล้วเจ้าหน้าที่ก็นำกรงเข้าใน “สวนสัตว์เดฮิวาลา” เริ่มซ้อมยกกรงขึ้นรถเคลื่อนย้าย พร้อมนำช้างมาเดินรอบกรง การซ้อมเดินเข้า-ออกกรงโดยได้เปิดประตูทั้งสองด้าน การซ้อมปิดประตูทีละด้านสร้างคุ้นเคยเกือบ 1 เดือนก่อนฝึกจำลองสถานการณ์เสมือนจริง “ระหว่างขึ้นเครื่องบิน” ด้วยการฝึกช้างเข้าไปอยู่ในกรงกินอาหาร เมื่อมีความคุ้นชินก็ค่อยๆทำการปิดกรงทั้ง 2 ด้าน ให้ช้างเกิดความเคยชินสามารถอยู่ในกรงได้

ถัดมาปรับสภาพสิ่งแวดล้อมรอบกรงให้ใกล้เคียงบรรยากาศขณะอยู่บนเครื่องบิน เช่น สร้างเสียงดังทดสอบว่าช้างทนเสียงได้หรือไม่ หรือเพื่อเกิดความเคยชินกับสภาพ “จนช้างไม่รู้สึกตื่นกรง” นับเป็นสัญญาณดีในการเคลื่อนย้ายวันที่ 2 ก.ค.เวลา 02.00 น. จากสวนสัตว์ไปยังสนามบินโคลัมโบใช้เวลา 2-3 ชม. และโหลดช้างขึ้นเครื่องบิน

ตามกำหนดการเครื่องบินออกเดินทาง 07.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นใช้เวลาเดินทางมาถึงสนามบินเชียงใหม่ 5 ชั่วโมง ก่อนเคลื่อนย้ายไปที่สถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯ จ.ลำปาง

...

“การเคลื่อนย้ายครั้งนี้นับเป็นการลำเลียงสัตว์ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย เพราะด้วยพลายศักดิ์สุรินทร์มีน้ำหนัก 3.5 ตัน ขนาดความสูง 2.9 เมตร ความกว้างจากงาจรดหาง 4.5 เมตร อายุประมาณ 30 ปี ทำให้ต้องใช้เครื่องบินขนส่งขนาดใหญ่มากพอสมควรที่น่าจะมีเพียงไม่กี่ลำในโลกเท่านั้นที่สามารถทำได้เช่นนี้” วราวุธว่า

สิ่งที่กังวลคือ “อาการบาดเจ็บภายใน” เมื่อถึงประเทศไทยต้องทำการเอกซเรย์ทั้งร่างกายช้างอย่างละเอียดอีกครั้งแม้ว่าปัจจุบัน “การบาดเจ็บภายนอกจะพัฒนาดีขึ้นเมื่อเทียบกับวันแรกที่เจอ” แต่ก็ไม่มีใครทราบได้ชัดว่า “อาการบาดเจ็บภายในต้องรักษาอะไรเพิ่มอีกหรือไม่” เพราะศรีลังกาไม่มีเครื่องมือเอกซเรย์ช้าง

ดังนั้นเมื่อ “พลายศักดิ์สุรินทร์” มาถึงประเทศไทยต้องทำการเอกซเรย์ให้รู้อาการบาดเจ็บเรื้อรังภายในมีอะไรบ้าง ก่อนเริ่มทำการรักษาฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาสมบูรณ์เป็นปกติที่ต้องใช้เวลานานพอสมควร

หากถึงตอนนั้น “รัฐบาลไทยอาจต้องหารือกับรัฐบาลศรีลังกา” เกี่ยวกับอนาคตของพลายศักดิ์สุรินทร์จะเป็นอย่างไรอีกครั้ง แต่สำหรับวันนี้ “ทส.” ต้องนำตัวช้างกลับบ้านมาทำการรักษาให้หายเป็นปกติโดยเร็วก่อน

...

ประเด็นสำหรับ “ไทยส่งช้างทูตสันถวไมตรี” ที่ผ่านมารัฐบาลไทยส่งช้างไปแล้ว 20 เชือก เพื่อเป็นทูตสันถวไมตรี 5 ประเทศ คือ ศรีลังกา เดนมาร์กญี่ปุ่น สวีเดน ออสเตรเลีย เริ่มตั้งแต่ปี 2523 กรมป่าไม้ส่งออกช้างพลายประตูผา1เชือกไปประเทศศรีลังกา และปี 2544 ส่งช้างพลายศักดิ์สุรินทร์และพลายศรีณรงค์ไปเพิ่มอีก

ในปีเดียวกันก็ส่งออกช้าง 3 เชือกไปประเทศเดนมาร์ก ปี 2545 ส่งออกช้าง 2 เชือกไปประเทศญี่ปุ่น ปี 2547 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชส่งช้าง 2 เชือกไปประเทศสวีเดน ปี 2548 จ.สุรินทร์ (ภาคเอกชน) มีการส่งออกช้างพลายอาทิตย์ และพังอุทัย 2 เชือกไปประเทศญี่ปุ่น

และปี 2559 องค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ส่งออกช้างพลายกุ้ง, พังทองดี, พังน้ำอ้อย, พังดอกคูณ, พังพรทิพย์, พังผักบุ้ง, พังแตงโม อีกเชือกไม่ระบุชื่อรวม 8 เชือกไปประเทศออสเตรเลีย

...

ส่วนยุคนั้นมีหลักเกณฑ์พิจารณาเงื่อนไขในการส่งช้างไทยไปเป็นทูตสันถวไมตรีอย่างไรนั้น อันนี้ไม่สามารถตอบได้ เพราะผ่านมากว่า20ปีแล้วคงเป็นเรื่องของ กต.ในการเจรจาร่วมกับต่างประเทศ

สำหรับความเป็นอยู่ “ช้างทูตสันถวไมตรี 20 เชือกนั้น” ตอนนี้ช้างอยู่ประเทศศรีลังกา เดนมาร์ก ญี่ปุ่น สวีเดน ออสเตรเลีย “ยังไม่มีข้อน่ากังวลใด” แต่ถ้าประชาชนรู้เห็นข่าวแล้วแจ้งมา “ทส.” ก็พร้อมจะตรวจสอบข้อเท็จจริงด้วยการทำงานร่วมกับ “กต.” อันเป็นหัวจักรสำคัญในการประสานหน่วยงานต่างประเทศ

“ย้ำขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีนโยบายการนำช้างส่งออกไปนอกประเทศเหมือนในอดีต ส่วนประเทศใดต้องการแลกเปลี่ยนสัตว์ระหว่างกันก็อาจจะต้องมาพิจารณากันอย่างละเอียดว่าสิ่งที่ประเทศนั้นต้องการเจรจากับประเทศไทยมีประเด็นใดบ้าง แต่ตอนนี้ยืนยันนโยบายไม่มีการส่งช้างออกนอกประเทศแน่นอน” รมว.ทส.ว่า

ทว่าความกังวลเกี่ยวกับกรณี “ช้างทูตสันถวไมตรีเสี่ยงถูกทรมานหรือไม่” ในเรื่องนี้เท่าที่ทราบมาเองโดยยังไม่มีการตรวจสอบนั้น “การนำสัตว์ไปเพื่อการทรมานคงไม่ขอกันมาแบบนี้” แล้วยิ่งกรณีขอช้างไปเป็นทูตสันถวไมตรี “มักเป็นเรื่องของรัฐต่อรัฐ” แล้วการจะนำไปเพื่อจงใจทรมานคงไม่อยู่ในประเด็นที่จะเป็นไปได้

แน่นอน “ประเทศใดรับของขวัญทางการทูตเจริญสัมพันธไมตรีต่อกัน” ก็มีหน้าที่ดูแลสัตว์อันเป็นตัวแทนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้ดีที่สุดด้วยซ้ำ เพียงแต่ละประเทศมีศักยภาพต่างกัน “ช้างถูกส่งในฐานะทูตสันถวไมตรีอาจได้รับภารกิจต่างกัน” บางครั้งย่อมบาดเจ็บบ้างแล้วการดูแลรักษาก็อาจมีศักยภาพต่างกันด้วย

สุดท้ายแผนสำหรับ “การรักษาฟื้นฟูช้างพลายศักดิ์สุรินทร์” เรื่องนี้สถาบันคชบาลแห่งชาติจัดพื้นที่เข้าสู่การกักโรค 2 สัปดาห์ ถ้าตรวจเลือดไม่ติดเชื้อใดๆ ก็จะเริ่มเข้าพื้นที่โรงเลี้ยงดำเนินการรักษาตามขั้นตอน “คนไทย” สามารถติดตามดูอาการพลายศักดิ์สุรินทร์ได้แบบเรียลไทม์ผ่านกล้อง CCTV ถ่ายทอดสด 24 ชม.

ลักษณะคล้ายติดตามชีวิต “หมีแพนด้า” ทั้งยังอัปเดตสถานะการรักษาที่จะถูกเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนทุกสัปดาห์เช่นกัน ดังนั้นขอขอบคุณคนไทยที่คอยติดตามเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่นำพลายศักดิ์สุรินทร์กลับมารักษาตัวในไทยได้สำเร็จครั้งนี้ เรายืนยันจะทำทุกวิถีทางในการดูแลให้กลับมามีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์โดยเร็ว

นี่คือกระบวนการนำ “ช้างไทยทูตสันถวไมตรี” กลับมาสู่อ้อมกอดประเทศไทยเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว เชื่อว่าคนไทยต่างเฝ้ารอให้กำลังใจพลายศักดิ์สุรินทร์หายดีกลับมาเป็นปกติดังเดิม...