วันนี้คล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 อันเป็นที่รักยิ่งของพสกนิกรชาวไทยเป็น “วันพ่อแห่งชาติ” และเป็น “วันชาติ” ของประเทศไทยด้วย ตลอดรัชสมัย 70 ปี พระองค์ทรงสร้างโครงการพระราชดำริขึ้นมาหลายพันโครงการ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของคนไทย ทรงแนะนำ “ทฤษฎีการปลูกป่าและป่าต้นน้ำ” ที่ถูกต้อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราช ชนนีพันปีหลวง มีพระราชดำรัสเมื่อ 40 ปีก่อนว่า “พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ”วันนี้ ป่าไม้ไทยถูกนายทุนลักลอบตัดทำลายไปมากมาย ส่งผลให้เกิด ภาวะฝนแล้งน้ำท่วม ภัยคุกคามจาก ภาวะโลกร้อน มากมาย และรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกปีปี 2516 ประเทศไทยมีป่าไม้อยู่ 43.21% ของพื้นที่ประเทศ แต่ปี 2564 ป่าไม้ไทยเหลือเพียง 102 ล้านไร่เศษ คิดเป็น 31.59% ของพื้นที่ประเทศ ถ้าจะเพิ่มพื้นที่ป่าให้เท่าเดิม จะต้องปลูกต้นไม้ไม่ต่ำกว่าปีละ 100 ล้านต้น และใช้เวลาถึง 20 ปี จึงจะฟื้นป่าขึ้นมาให้เท่าปี 2516 ได้ การปลูกป่าทดแทนนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทาน มรรควิธีในการปลูกป่าทดแทน เพื่อคืนธรรมชาติสู่แผ่นดินด้วยวิถีทางแบบผสมผสานกันในเชิงปฏิบัติพระองค์พระราชทานคำแนะนำในการปลูกป่าทดแทนตามสภาพภูมิศาสตร์และสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ว่า “...การปลูกป่าทดแทนในพื้นที่เสื่อมโทรม หรือพื้นที่ต้นน้ำลำธารที่ถูกบุกรุกแผ้วถางจนเป็นภูเขาหัวโล้นแล้ว จำเป็นต้องปลูกป่าทดแทนเร่งด่วน ควรจะทดลองปลูกต้นไม้ชนิดโตเร็วคลุมแนวร่องน้ำเสียก่อน เพื่อทำให้ความชุ่มชื้นค่อยๆทวีขึ้นแผ่ขยายออกไปสองร่องน้ำ ซึ่งจะทำให้ต้นไม้งอกงามและมีส่วนช่วยป้องกันไฟป่า เพราะไฟจะเกิดง่ายหากป่าขาดความชุ่มชื้น ในปีต่อไปก็ให้ปลูกต้นไม้ในพื้นที่ถัดขึ้นไป ความชุ่มชื้นก็จะแผ่ขยายกว้างออกไปอีก ต้นไม้จะงอกงามดีตลอดทั้งปี...”ในชีวิตผมเคยขึ้นไปชมป่าต้นน้ำมาครั้งหนึ่ง ได้เห็นการเกิดของน้ำต่อหน้าต่อตา บนป่าต้นน้ำบนยอดเขาสูง ซึ่งเกิดจากความชุ่มชื้นของพื้นป่าที่มีใบไม้ทับถมมาหลายสิบปี เป็นธรรมชาติที่มหัศจรรย์มาก แค่เอามือโกยดินมาทำเป็นคันกั้นน้ำเล็กๆ แป๊บเดียวก็มีน้ำผุดขึ้นมาเต็มพื้นที่ และไหลล้นคันกั้นน้ำลงไปด้านล่างของเชิงเขาหลายปีมานี้บริษัทเอกชนขนาดใหญ่หันมาสนใจสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น ช่วยกันปลูกป่ามากขึ้น เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อนจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ วันก่อน คุณอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่ บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เล่าให้ฟังว่า กลุ่ม ปตท.ตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 15 ภายในปี 2030 บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2040 และ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ เป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 เร็วกว่าเป้าหมายของประเทศตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา ปตท.ได้อาสาฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมไปแล้วกว่า 1.1 ล้านไร่ ปัจจุบันมีสภาพเป็นป่าสมบูรณ์ 80% สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์ส่วนบุคคลเฉลี่ยปีละ 4.6 แสนคัน ปลดปล่อยออกซิเจนได้กว่า 1.55 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2030 กลุ่ม ปตท.จะปลูกป่าเพิ่มเติมอีก 2 ล้านไร่ ปตท.ปลูก 1 ล้านไร่ บริษัทในกลุ่มอีก 1 ล้านไร่ ในอนาคตพื้นที่ป่าเหล่านี้จะมีศักยภาพช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้รวมกว่า 4.15 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี และยังสร้างคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจชุมชน นำมาซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยได้อย่างต่อเนื่องด้วยก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีและน่าชื่นชมครับ ผมก็เลยอยากชักชวนว่า “รักในหลวงรัชกาลที่ 9 มาช่วยกันปลูกต้นไม้ลดคาร์บอนกันเถอะ” ทุกคนสามารถทำได้ ปลูกได้ทุกครัวเรือน ต้นไม้แต่ละต้นสามารถดูดซับคาร์บอนและเพิ่มออกซิเจนได้มากมาย ถ้าเราช่วยกันปลูกบ้านละต้นสองต้นแทนการปลูกกัญชาเราจะได้โลกที่สวยงามกลับมาแน่นอน.“ลม เปลี่ยนทิศ”