ผมอ่านถึงหัวข้อ “เทพนิยายยุคหลังอุปนิศัท” หนังสือภารตวิทยา (กรุณา–เรืองอุไร กุศลาศัย พิมพ์ครั้งที่ 5 สำนักพิมพ์ศยาม พ.ศ.2547) จึงเพิ่งเข้าใจประโยค เห็นพฤกษ์ไม่เห็นไพร
หลังยุคอุปนิศัท พร้อมการอุบัติของศาสนาพุทธและศาสนาไชน มีการยกฐานะเทพเจ้าเก่าๆในคัมภีร์พระเวท เช่น พระอินทร์ พระพิรุณขึ้นไว้ในที่สูง แล้วนำเทพเจ้าใหม่เข้ามาแทน
กฤษณนิกาย อุบัติขึ้นแพร่หลายจนบางผู้รู้เห็นว่าเป็นศาสนา แต่ผู้เขียน (กรุณา–เรืองอุไร) เห็นว่าเป็นแค่กิ่งก้านหนึ่งแห่งพฤกษ ชาติศาสนาฮินดูอันมีสาขาร่มใหญ่ไพศาล
เรื่องพระกฤษณะมีเค้าความจริงอิงประวัติศาสตร์ เป็นหัวหน้าเผ่าชนทางภาคกลาง ภาคตะวันตกของอินเดีย เป็นผู้นำกระบวนการปฏิรูปทางศาสนา ด้วยความแกล้วกล้าสามารถ จนถูกยกขึ้นเป็นวีรบุรุษ
แล้วก็กลายเป็นเทพเจ้าที่มาของเทพนิยายมากมาย มหาภารตะ ตอน ภควัทคีตา เป็นหัวใจศาสนาฮินดู
ช่วงเวลาที่พระกฤษณะเฟื่องฟู ก็ได้มีนิกายพระวิษณุ หรือ ไวษณพนิกาย และนิกายพระศิวะ หรือไศพนิกาย สองเทพเจ้านี้เดิมเป็นเทพเจ้าของชาวพื้นเมืองแท้ๆ แต่ได้รับการสถาปนาขึ้นไว้ในชมรมเทพเจ้าของพวกอารยัน
มีอิทธิพลเหนือจิตใจชาวอินเดียอย่างเข้มข้นและกว้างขวางกระทั่งในปัจจุบัน
ทั้งสองนิกายอุดมด้วยเทพนิยาย เช่น “ตรีมูรติ” รูปสาม หมายถึง รูปพระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ เทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเทพนิยายอินเดีย ตรีมูรติ มีร่องรอยจากคัมภีร์พระเวท อยู่ในรูปพระอัคนี พระวายุ และพระสูรยะ
ต่อมาเป็นพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุ สามองค์รวมกันเป็น สัญลักษณ์แห่งพลังสามประการ
พลังทางสร้างสรรค์ ได้แก่ พระพรหม พลังทางทะนุบำรุงเลี้ยงดู ได้แก่ พระวิษณุ และพลังทางทำลาย ได้แก่ พระศิวะ มักทำเป็นรูปเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ อ่านว่า “โอม”
...
นิกายพระวิษณุ เทิดทูนพระวิษณุไว้สูง ถือเป็นยอดแห่งเทพทั้งปวง แม้ในตรีมูรติ พระวิษณุก็อยู่ในอันดับหนึ่ง เมื่อใดที่โลกเกิดยุคเข็ญ เมื่อนั้นพระวิษณุจะต้องลงไปช่วย
เรื่องพระวิษณุ เป็นต้นเหตุของเรื่องอวตาร การแบ่งภาคลงมาเกิด ท่านที่เคยอ่านลิลิตเรื่องนารายณ์สิบปาง พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 6 คงรู้ดี
นารายณ์ แปลว่า ผู้ที่มีน้ำเป็นที่เคลื่อนไหว เป็นนามหนึ่งของพระวิษณุ (พระวิษณุมีชื่อราวพันชื่อ)
พระวิษณุนารายณ์อวตาร แบ่งภาคลงมาเกิดสิบครั้ง ดังต่อไปนี้
มัสยาวตาร อวตารเป็นปลา กูรมาวตาร อวตารเป็นเต่า วราหา วตาร อวตารเป็นหมู นรสิงหาวตาร อวตารเป็นนรสิงห์ (ครึ่งคนครึ่งสิงห์) วามนาวตาร อวตารเป็นคนแคระ ปรศุรามาวตาร อวตารเป็นคนป่า หรือคนถือขวาน
รามาวตาร อวตารเป็นพระราม กฤษณาวตาร อวตารเป็นพระกฤษณะ พุทธวตาร อวตารเป็นพระพุทธเจ้า และกัลกิยาวตาร อวตารเป็นพระกัลกี หรือบุรุษขี่ม้าขาว
คัมภีร์ฮินดูกล่าวว่า นับแต่โลกอุบัติขึ้น พระนารายณ์อวตารไปแล้ว 9 ปาง ปางที่สิ้นสุดด้วยพระพุทธเจ้า ปางสุดท้าย ปางที่สิบจะอุบัติขึ้นในเมื่อกลียุค คือยุคปัจจุบันถึงกาลอวสารลง
ปางที่สิบพระวิษณุจะเสด็จมาบนหลังม้าขาว พระหัตถ์ถือพระ แสงดาบซึ่งส่องแสงวาววาบประดุจดวงดาวหาง พระองค์จะทรงปราบความชั่วร้ายในโลกแล้วสร้างพิภพแห่งความบริสุทธิ์ผุดผ่องขึ้นใหม่
ทั้งหมดที่กล่าวมา ผมนับเป็นผลึกความรู้ชุดใหม่ เคยรู้จักเทพเจ้ามากมายในลีลาหลากหลาย เหมือนรู้จักต้นไม้ทีละต้นๆ ไม่เคยรู้ว่า แต่ละเทพเจ้ามีที่มา แล้วจำแลงแปลงร่างอย่างไร
เพิ่งมาเห็นภาพรวม เหมือนเห็นไพร หรือเป็นป่าทั้งป่า จากการอ่านภรตวิทยาในครั้งนี้เอง
การอ่านครั้งนี้ ผมมีความหวังใหม่...อีกไม่นาน จะได้เจออัศวิน ขี่ม้าขาว...แต่จะนานเท่าไร...ผมไม่แน่ใจ เพราะหลงๆอยู่ว่า เรายังอยู่ในช่วงเทพมูรติ เทพสามพี่น้อง ที่เขาว่ากันว่ายังรักใคร่กันดี.
กิเลน ประลองเชิง