แนวโน้มการระบาด “โควิด-19” ปัจจุบันชี้ให้เห็นว่า “โอมิครอน” สายพันธุ์ย่อย BA.2.75 น่าจะเบียด BA.5 ที่ครองการระบาดขณะนี้ได้ในช่วงหลายเดือนถัดจากนี้ไป ในขณะที่สายพันธุ์ย่อยที่เป็นลูกของ BA.5 อย่าง BA.5.2.1.7 นั้นพบมากขึ้นในบางประเทศ แต่ยังไม่เป็นที่น่ากังวล
ข้อมูลข้างต้นนี้มาจาก Prof.Tom Wenseleers ประเทศเบลเยียม
เกี่ยวกับ “ระยะฟักตัว” เฉลี่ยของโรคโควิด-19 โดยจำแนกตามสายพันธุ์ต่างๆที่ผ่านมา Wu Y และคณะจากประเทศจีนได้ทำการทบทวนงานวิจัยอย่างเป็นระบบและวิเคราะห์อภิมาน เผยแพร่ในวารสารการแพทย์สากล JAMA Network Open เมื่อวานนี้ 22 สิงหาคม 2565 มีสาระสำคัญที่น่าสนใจดังนี้

หนึ่ง...สายพันธุ์ของไวรัสโรคโควิด-19 มีระยะฟักตัวเฉลี่ย แปลว่า “ระยะเวลาตั้งแต่มีการติดเชื้อจนเริ่มมีอาการ”...สั้นลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ สายพันธุ์อัลฟา เริ่มติดเชื้อจนมีอาการใช้เวลาราว 5 วัน สายพันธุ์เบตา ใช้เวลา 4.5 วัน สายพันธุ์เดลตา (ที่ระบาดหนักปีที่แล้ว) ใช้เวลา 4.41 วัน
...
และล่าสุดสายพันธุ์โอมิครอน...ที่ระบาดปีนี้ ใช้เวลาสั้นลงเหลือ 3.42 วัน
การวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า สายพันธุ์อัลฟากับเบตานั้นมีระยะฟักตัวพอๆกับสายพันธุ์ดั้งเดิมที่เริ่มระบาดที่อู่ฮั่น (ราว 5.2 วัน) แต่หลังจากนั้น สายพันธุ์ที่ระบาดในช่วงหลังตั้งแต่กลางปีที่แล้วเป็นต้นมาคือ “เดลตา” และ “โอมิครอน” มีระยะฟักตัวที่สั้นลงกว่าเดิมอย่างชัดเจน
ภาพรวมของการระบาดทั้งหมดที่ผ่านมาระยะฟักตัวเฉลี่ยของทุกสายพันธุ์ที่ศึกษาอยู่ที่ 6.65 วัน โดยสั้นสุดที่ 1.8 วัน และยาวนานสุดที่ 18.87 วัน
ทั้งนี้หากลองจำแนกตามความรุนแรงของโรคจะพบว่า คนที่ติดเชื้อแล้วป่วยรุนแรงนั้นมีแนวโน้มที่จะมีระยะฟักตัวสั้นกว่าคนที่ติดเชื้อแล้วอาการน้อย...ในขณะที่เด็ก (8.82 วัน) และคนสูงอายุ (7.43 วัน) จะมีระยะฟักตัวนานกว่าค่าเฉลี่ยของประชากรทั้งหมด
ประโยชน์ของงานวิจัยนี้ช่วยให้เราทราบธรรมชาติของโรคและคอยสังเกตอาการผิดปกติหลังจากมีประวัติไปคลุกคลีสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อหรือหลังจากที่มีความเสี่ยง
“โควิด–19” ไม่ใช่หวัดธรรมดาหรือไข้หวัดใหญ่ ไม่ชิลๆแค่ติดแล้วหาย แต่ป่วยรุนแรงได้ ตายได้ ประเด็นสำคัญที่ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ ออกมาย้ำเตือนสม่ำเสมอต่อเนื่อง
มองอดีตมาสู่ปัจจุบัน เทียบ “ไข้หวัดใหญ่สเปน” และ “โควิด–19”

“ไข้หวัดใหญ่สเปน” นั้นถือเป็นการระบาดที่รุนแรงที่สุดในอดีต โดยทำให้คนติดเชื้อไปราว 500 ล้านคน โดยใช้เวลาตั้งแต่กุมภาพันธ์ 1918 ถึงเมษายน 1920...คิดเป็นเวลาราว 2 ปี 2 เดือน
ในขณะที่โรคโควิด–19... (ไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดาและไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่) นั้น ก้าวข้ามไข้หวัดใหญ่ไปมาก โดยสถิติล่าสุดวันนี้ทะลุ 600 ล้านไปแล้วโดยใช้เวลา 2 ปี 9 เดือน
ลองดูช่วงที่ “โควิด–19” แตะ 500 ล้านคนนั้น พบว่าประมาณวันที่ 9 เมษายน 2022 หากประมาณระยะเวลาก็จะพบว่าเคสแรกในโลกพบเมื่อพฤศจิกายน 2019 นั่นคือใช้เวลาราว 2 ปี 5 เดือนจะสังเกตว่าระยะเวลาถึง 500 ล้านคนนั้น “โควิด–19” พอๆกับ “ไข้หวัดใหญ่”
แต่...อย่าลืมว่ายุคสมัยต่างกันถึง 100 ปี โดยปัจจุบันมีความรู้ ความก้าวหน้าทางการแพทย์ สุขอนามัย เทคโนโลยีและอื่นๆมากกว่าอดีตอย่างมาก แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องของการติดเชื้อนั้นกลับไม่ต่างกันเท่าใดนัก เหตุผลหนึ่งที่พอจะอธิบายได้คือ ความหนาแน่นของประชากรและปัจจัยแวดล้อมทางสังคม
อาทิ รูปแบบการใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยง

...
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ต่างกันมากระหว่างอดีตกับปัจจุบันคือ จำนวนผู้เสียชีวิต โดยยุคไข้หวัดสเปนนั้นคาดประมาณว่ามีคนเสียชีวิตราว 17-50 ล้านคน ในขณะที่ยุคโควิด-19 นั้น นับถึงช่วงที่ติดไป 500 ล้านคน มีเสียชีวิตไปราว 6.2 ล้านคน อันเป็นผลมาจากยาและวัคซีน รวมถึงวิทยาการด้านการแพทย์และเทคโนโลยี
ประเด็นสำคัญที่น่ากังวลคือ โรคโควิด–19 ไม่ได้หยุดที่ 500 ล้านคน แต่การระบาดยังเป็นไปอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส ลักษณะการใช้ชีวิตและการป้องกันตัวของประชาชน รวมถึงความไม่เป็นธรรมด้านสุขภาพที่เกิดขึ้น...
และ...ทำให้การเข้าถึงบริการที่จำเป็นนั้นไม่ทั่วถึง ไม่เพียงพอ หรือไม่มีคุณภาพ เช่น การตรวจโรค การดูแลรักษา การป้องกัน และกลไกการสนับสนุนทางสังคม
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของไทยเรา การติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันยังสูงมาก จำนวนเสียชีวิตก็ติดอันดับต้นๆของเอเชีย และอยู่ในลำดับ 10-20 ของโลกมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เราตระหนักว่า การป้องกันตัวระหว่างดำรงชีวิตประจำวันถือเป็นเรื่องจำเป็น
วงวิชาการทั่วโลกมิได้กังวลแค่เรื่องติดเชื้อ ป่วย และตาย แต่ปัญหาระยะยาวอย่าง “ลองโควิด” คือ Pandora box...กล่องความลับที่ไม่อยากให้แจ็กพอตเกิดขึ้น เพราะยังไม่มีความรู้ตกตะกอนดีพอ และยังไม่มีวิธีรักษาที่จำเพาะเจาะจง

...
การฉีดวัคซีนช่วยลดความเสี่ยงลองโควิดได้ราว 15% ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ การใช้ชีวิตโดยป้องกันตัวอย่างเป็นกิจวัตร การใส่หน้ากากอย่างถูกต้องนั้นเป็นหัวใจสำคัญ
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา Fischer A และคณะ จากลักเซมเบิร์ก ได้เผยแพร่ผลการศึกษาในวารสารการแพทย์โรคติดเชื้อ Open Forum Infectious Diseases โดยทำการสำรวจเพื่อประเมินภาวะ “ลองโควิด” และผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ณ 12 เดือนหลังจากติดเชื้อ
สาระสำคัญพบว่า โดยรวมแล้วพบว่ามีคนที่ประสบอาการผิดปกติอย่างน้อย 1 อาการ สูงถึงเกือบ 60% ทั้งนี้หากเป็นกลุ่มที่ติดเชื้อแบบไม่มีอาการ พบว่าประสบปัญหาราวหนึ่งในสาม แต่กลุ่มที่ติดเชื้อแล้วป่วยปานกลางหรือรุนแรงจะมีโอกาสเกิดปัญหามากกว่า

ที่น่าสนใจคือปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับนั้นพบบ่อยถึง 54.2% โดยพบได้ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อทุกกลุ่มอาการ ไม่ว่าจะไม่มีอาการ (38.6%) อาการน้อย (54.1%) อาการปานกลางหรืออาการมาก (63.8%) แม้กลุ่ม
ตัวอย่างที่ศึกษาอาจไม่มากนัก แต่เป็นข้อมูลที่ย้ำเตือนให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากติดเชื้อโรคโควิด-19
...
“สัจธรรมของชีวิต” ไม่ว่าจะที่ใดในโลก “ชีวิตใครใครก็รัก”...มิใช่การบอกให้ไปในทางที่เสี่ยงมาก แต่ไม่ทราบรายละเอียดว่าความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆเป็นเช่นไร...“สมดุล” กับ “สังเวย” นั้นแตกต่างกันตรงเรื่องการเปิดเผยข้อมูลรายละเอียด ความรู้ที่ถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้ มิใช่การบอกให้ทำ เปิดเท่าที่อยากเปิด
และเปิดยามที่อยากเปิด...ทุกชีวิตมีคุณค่าเสมอ ประโยชน์...ความเสี่ยง...ความยุติธรรม...และการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ถือเป็น 4 เรื่องสำคัญเกี่ยวกับการกระทำใดๆที่ส่งผลต่อชีวิตคน ขอให้ใช้ความรู้ที่ถูกต้องเป็นแสงส่องทาง ประกอบการตัดสินใจประพฤติปฏิบัติตัว
เพื่อให้มี “สวัสดิภาพ” และ “ความปลอดภัย” ในการดำรงชีวิตประจำวัน...ใส่หน้ากากอย่างถูกต้องสม่ำเสมอนะครับ.