สถานการณ์ของประเทศไทยในขณะนี้ ดูเหมือนว่าจะเริ่มคลี่คลาย หรือผ่อนคลาย โดยเฉพาะด้านสังคม แม้ว่าการเมืองจะยังเครียด และเศรษฐกิจยังร่อแร่ แต่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนผ่าน จากภาวะโรคระบาดร้ายแรง สู่ภาวะโรคประจำถิ่น หลังจากที่คนไทยทั้งประเทศ ต้องเผชิญกับความทุกข์ร้อนมากว่าสองปีโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 แถลงว่า ศบค.มีมติให้ยกเลิกจังหวัดนำร่องเพื่อการท่องเที่ยว (สีฟ้า) ในบางจังหวัด และปรับให้เป็นพื้นที่เฝ้าระวังทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ (สีเขียว) ตามด้วยการผ่อนคลายการสวมหน้ากากอนามัย ยกเว้นในสถานที่แออัด สถานที่ปิด หรืออยู่ใกล้คนจำนวนมาก และให้ดื่มเหล้าได้ถึง 24.00 น.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีสาธารณสุข อ้างว่า องค์การอนามัยโลก ยกให้แนวทางการควบคุมโรคของไทย เป็นต้นแบบของโลก ขณะนี้คนไทยฉีดวัคซีนเต็มแขนแล้วถึง 140 ล้านโดส ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆมากเพียงพอ อัตราความต้องการเตียงมีแค่ 10% แต่ไม่บอกว่า องค์การอนามัยโลกพูดแต่เมื่อไหร่แต่ที่แน่นอนที่สุดก็คือตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดใหม่ในไทย ณ วันที่ 19 มิถุนายน 2,272 คน ที่ติดจากการตรวจด้วยระบบเอทีเค 3,071 คน อาการหนัก 1,496 คน เสียชีวิต 23 คน รวมเสียชีวิตสะสม 30,448 คน และมีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 4,497,152 คน เป็นตัวเลขที่ ศบค. และกระทรวงสาธารณสุขพอใจรัฐบาลจึงวางแผนเปลี่ยนผ่านภาวะโรคระบาดร้ายแรง เป็นโรคประจำถิ่น ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมเป็นต้นมา โดยแบ่งเป็น 4 ระยะ เริ่มต้นด้วยการต่อสู้กับโรคระบาด ระยะโรคทรงตัว ระยะโรค ลดลง ตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม ถึง 30 มิถุนายน เข้าสู่ระยะสุดท้าย คือโรคประจำถิ่นในวันที่ 1 กรกฎาคมขณะเดียวกัน มีการผ่อนคลายในด้านอื่นๆด้วย เพื่อลดความเครียดของประชาชน เช่น ออกกฎหมาย “สุราก้าวหน้า” ให้ประชาชนผลิตสุรา หรือคราฟต์เบียร์ ได้ค่อนข้างจะเสรี โดยไม่กำหนดคุณสมบัติการขอใบอนุญาต ไม่กำหนดทุนขั้นต่ำในการจดทะเบียน ตามข้อเสนอของพรรคก้าวไกล โดยมุ่งทำลายการผูกขาดของทุนใหญ่หวังว่า การเปลี่ยนผ่านจากโรค ระบาดร้ายแรง สู่โรคประจำถิ่นที่ไม่น่ากลัว เปรียบเทียบได้กับไข้หวัดใหญ่ จะเป็นไปโดยราบรื่นไม่ช้าเกินไป ไม่เร็วจนเกินไป ขณะนี้ชาวบ้านทั่วไปยังรู้สึกว่า โควิดยังระบาดอยู่ แม้จะลดลงก็ตาม หวังว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะไม่ปิดบังความจริง ขอให้ศึกษากรณีกัญชาเสรีเป็นตัวอย่างของความรีบร้อน.