ผมเกิดมาในยุคที่สังคมไทยอุดมไปด้วยการ “ล้อเล่น” และการล้อเล่นหรือล้อเลียนก็เป็นวัฒนธรรมเล็กๆที่แอบแฝงอยู่กับคนไทยในยุคสมัยที่ผมเป็นเด็กๆเมื่อ 60–70 ปีก่อนพ่อแม่ตั้งชื่อเล่นผมว่า “อู๊ด” ซึ่งเป็นเสียงร้องของ “หมู” สัตว์ที่ชอบกินทั้งวันและมักจะอ้วนพีกว่าสัตว์อื่นๆ...ล้อผมมาตั้งแต่เกิดเมื่อเด็กๆผมเป็นเด็กอ้วนจ้ำม่ำ พ่อแม่จึงเรียกผมว่า “เจ้าอู๊ด” พอโตหน่อยๆเด็กๆแถวบ้านจะเรียกผมว่า “โกอู๊ด” ซึ่งผมก็ยอมรับชื่อนี้และเติบโตมากับชื่อนี้ด้วยความภูมิใจตอนมาเรียนปากน้ำโพ เพื่อนบางคนเรียกผมว่า “ไอ้อ้วน” ด้วยซ้ำ ผมก็ไม่ได้ถือสาเพราะผมรู้ว่ามันเรียกผมด้วยความรัก ด้วยความสนุก เพื่อต้องการหยอกล้อ และผมก็จะล้อมันกลับไปใครผอมผมก็จะเรียกมันว่า “ไอ้แห้ง” บ้าง “ไอ้กุ้ง” บ้าง “ไอ้ก้าง” บ้าง...ใครสูงเราก็เรียกว่า “โย่ง” ใครตัวดำหน่อยก็เป็นไอ้ดำ ไอ้หมึกไอ้ถ่าน หรือบางทีก็เรียกว่า ไอ้สำลี (เม็ดใน)ตอนผมมาเรียนที่โรงเรียน เตรียมอุดมศึกษา...เพื่อนที่มาจากปักษ์ใต้จะถูกล้อเรื่องพูดเร็ว พูดสั้นๆ...เพื่อนหญิงจากภาคเหนือถูกล้อเรื่องพูดช้า พูดเนิบๆ และชนะใครไม่เป็น ทำอะไรก็เจ้าไปหมดห้องเราไม่มีเพื่อนจากสุพรรณบุรี แต่มีจากกาญจนบุรีใกล้ๆกัน 1 คน...ก็โดนล้อโดยการทำเสียงเหน่อๆ ซึ่งเพื่อนก็ไม่โกรธ แถมยังพูดเหน่อเมืองกาญจน์ล้อตัวเองเสียด้วยซํ้าผมมาจากปากนํ้าโพ ดูเหมือนไม่มีจุดอ่อน...แต่ก็มีจนได้ เพื่อนบอกว่า ไอ้นี่มาจากเมืองลุงเชยถึงได้เชยบรรลัย...ทำให้นึกออกว่าในนิยายสามเกลอ พลนิกรกิมหงวนที่ฮิตมากในยุคโน้น...ตัวละครดังตัวหนึ่งคือ“ลุงเชย” ลุงของ พล พัชราภรณ์ เป็นชาวอำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์ชอบมาทำอะไรเปิ่นๆในเมืองกรุง แบบบ้านนอกเข้ากรุง จนคำว่า “ลุงเชย” หรือ “เชย” แปลว่า “เปิ่น” หรือบ้านนอกไปด้วยเท่าที่ผมจำความได้ ยิ่งล้อกันเท่าไร เราก็ยิ่งรักกันเท่านั้นแต่แล้ววันหนึ่งเมื่อโลกพัฒนาไปเรื่อยๆและเรื่อยๆ จนมีอินเตอร์เน็ตใช้ มีโทรศัพท์มือถือใช้ และมีโซเชียลมีเดียเกลื่อนไปหมดประเพณี “ล้อเลียน” ก็เลือนหายไปกลายเป็นเรื่องของการ “บูลลี่” เข้ามาแทนเว็บๆหนึ่งให้คำจำกัดความว่า “บูลลี่” หรือ Bully ในภาษาอังกฤษหมายถึง การกลั่นแกล้งผู้อื่นให้เสียหาย อับอาย เป็นทุกข์ โดยการกระทำ คำพูด การกีดกันทางสังคม หรือผ่านช่องทางโซเชียลที่เรียกว่า Cyber bullyingนอกจากนี้ยังรวมถึงการเหยียดชาติพันธุ์ รูปร่าง หน้าตา รวมทั้งการเหยียดและล้อเลียนผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศอีกด้วยพฤติกรรม bullying คือการกลั่นแกล้งผู้อื่น สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ส่วนใหญ่จะเริ่มเกิดขึ้นในโรงเรียน หรือในวัยเรียนข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตปี 2561 น่าตกใจมาก ระบุว่านักเรียนไทยโดนกลั่นแกล้งในโรงเรียนกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ หรือราว 6 แสนคน จัดว่าอยู่ในอันดับ 2 ของโลก ทำให้สังคมไทยต้องหันมาใส่ใจในเรื่องนี้ เนื่องจากมีการเผยแพร่ภาพข่าว คลิปวิดีโอ รวมถึงคำบอกเล่าจากผู้มีประสบการณ์มากขึ้นคนที่เกิดมาในยุคที่การล้อเลียน (ซึ่งก็เริ่มในโรงเรียน และมีมากในสมัยเราเป็นนักเรียนนั่นแหละ) เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ล้อแล้วต่างคนก็ต่างสนุก และต่างก็รักกันมากขึ้น...เมื่อได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้แล้วก็ใจหายเจอคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ผมก็ได้แต่เจียมตัวไม่กล้าพูดเล่นพูดหัว เพราะกลัวว่าเด็กรุ่นใหม่เขาจะโกรธเอาว่าเราไปบูลลี่เขา เนื่องจากเส้นแบ่งระหว่างการ “ล้อ” กับ “บูลลี่” มันเปราะบางมากแยกลำบากเหลือเกินแม้แต่จะเขียนหนังสือทุกวันนี้ยังต้องระวัง เพราะกลัวจะไปบูลลี่คนอื่นๆในสังคมโดยที่เราไม่รู้ตัวทุกวันนี้คนแก่อย่างพวกเราจึงมีความสุขกับการเลี้ยงรุ่น เพราะยังเป็นคนรุ่นเดียวกัน พูดจาภาษาเดียวกัน มีวัฒนธรรมเดียวกันยังเรียกไอ้อ้วน ไอ้ผอม ไอ้ก้าง ไอ้อู๊ด หรือล้อชื่อพ่อชื่อแม่กันได้ โดยไม่โกรธเคืองกัน ย้อนยุคกลับไปสู่สมัยที่พวกเรายังเป็นเด็กแต่เพื่อนๆที่ว่านี้ก็ชักจะเหลือน้อยเต็มทีแล้วครับ...คงล้อเล่นกันอีกได้ไม่กี่ปี...และอีกไม่นานนักวัฒนธรรมการล้อเล่นอาจจะหมดไปจากประเทศไทย...เหลือแต่ “บูลลี่” ซึ่งไม่ใช่วัฒนธรรม แต่เป็นการกระทำที่โหดร้ายอยู่คู่บ้านคู่เมืองต่อไปเพียงอย่างเดียวเท่านั้น.“ซูม”