เมื่อกลวิธี “พฤติกรรมการก่อคดี อาชญากรรม” ซับซ้อนยากต่อการติดตามคนร้ายที่มักไม่ยอมปริปากรับสารภาพโดยง่าย ทำให้ “เครื่องจับเท็จ” มีความสำคัญ ถูกนำมาใช้ควบคู่กับการสืบสวนหาหลักฐานให้ทราบข้อเท็จจริง “บ่งชี้ผู้กระทำผิด” ยอมจำนนนำตัวมาดำเนินคดีลงโทษตามกฎหมายทำให้ช่วง 5-6 ปีมานี้ “ประเทศไทยนำเครื่องจับเท็จ” มาช่วยคลี่คลายคดีสำคัญหลายเรื่อง ตั้งแต่ “คดีครูจอมทรัพย์ขับรถชนคนตายปี 2548” รื้อคดีใหม่ปี 2560 นำพยานเข้าเครื่องจับเท็จ 2 คน บ่งชี้ให้การไม่จริง สร้างพยานหลักฐานเท็จ... “คดีน้องชมพู่” ตำรวจก็นำผู้ต้องสงสัยเข้าเครื่องจับเท็จคลี่คลายคดีเช่นกัน ล่าสุด “คดีแตงโมนักแสดงสาวชื่อดัง” พลัดตกเรือกลางแม่น้ำเจ้าพระยา “ตำรวจ” ก็นำเครื่องจับเท็จสอบปากคำกลุ่มเพื่อนที่อยู่บนเรือด้วยกัน เพื่อหาคำตอบที่สังคมสงสัยว่าให้การจริง หรือโกหกหรือไม่ตามข้อมูลคร่าวๆ “หลักการทำงานเครื่องจับเท็จ” (Polygraph หรือ Lie Detector) ก็อาศัยพื้นฐานสภาวะของจิตใจ และสภาวะของร่างกายสัมพันธ์กัน เมื่อสภาวะร่างกายเปลี่ยนแปลงย่อมแสดงผลของสภาวะจิตใจ เช่น ระบบการเต้นของหัวใจ ระบบการขับเหงื่อ การตื่นเต้นที่ควบคุมไม่ได้แสดงผลผ่านเส้นกราฟแต่ละเส้นที่เกิดขึ้นหากผู้เข้าเครื่องจับเท็จพูดโกหก “เส้นกราฟจะเปลี่ยนแปลงขึ้น-ลงผิดปกติ” โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านทำหน้าที่อ่านสรุปผลนั้น ทำให้ “เครื่องจับเท็จ” เป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ช่วยหาผู้ต้องสงสัยแคบลงนี้ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยา ม.รังสิต บอกว่า ตามหลัก “คนร้ายทำผิดคดีร้ายแรง” มักไม่ยอมปริปากพูดความจริงในหลายประเทศให้ความสำคัญในการพัฒนาขีดความสามารถการตรวจพิสูจน์หลักฐานต่อการคลี่คลายคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้น ทำให้มีการศึกษาคิดค้นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์จับการโกหกผู้เข้าข่ายตกเป็นผู้ต้องสงสัยกระทำความผิดนั้นปรากฏพบว่า “คนโกหก” สามารถสังเกตได้วิธีง่ายๆ เช่น สีหน้ากิริยาท่าทางร่างกาย เพราะเมื่อปกปิดความจริงมักมีอาการหัวใจเต้นแรงและเหงื่อผิวหนังฝ่ามือออกมากผิดปกติที่เกิดจากความกลัว กระทั่งมีการพัฒนาต่อยอดออกมาเป็น “เครื่องจับเท็จ” ในการพิสูจน์ความจริงในหลายคดีที่ช่วยการสืบสวนใกล้ความจริงยิ่งขึ้นในส่วน “ประเทศไทย” นำเครื่องจับเท็จเข้ามาใช้หลายสิบปีแล้ว เช่น ในปี 2541 คดีนักศึกษาแพทย์ฆ่าหั่นศพแฟนสาวที่เป็นนักศึกษาแพทย์เช่นกัน “ผู้ต้องสงสัย” ถูกนำตัวมานั่งบนเก้าอี้จับเท็จ “จำนนด้วยคำโกหก และพิรุธ” แสดงผลผ่านเครื่อง ถูกดำเนินคดี “โทษประหารชีวิต” แต่ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ไม่เท่านั้นยังมี “คดีคนขับแท็กซี่อ้างเก็บกระเป๋าเงิน 20 ล้านบาท” นำส่งคืนเจ้าของถูกนำตัวเข้าเครื่องจับเท็จจนรับสารภาพ ติดคุก 1 ปี 6 เดือน แม้แต่ “คดีน้องชมพู่” ก็นำผู้ต้องสงสัยมาเข้าเครื่องนี้เช่นกัน สะท้อนให้เห็นถึง “หลักประมวลผลเครื่องนี้แม่นยำเทียบเท่ามาตรฐานสากล” สามารถแบ่งเบาภาระตำรวจได้ค่อนข้างมากประเด็นสำคัญมีอีกว่า “ผู้เข้าเครื่องจับเท็จ” ก่อนนั่งบนเก้าอี้จับเท็จต้องถูกซักประวัติ โรคประจำตัว ความดันโลหิต ความผิดปกติของร่างกาย เช่นบางคนใช้ยาควบคุมการเต้นของหัวใจ มีประวัติใช้สารเสพติดมานาน มีความผิดปกติทางโรคจิตเวช สิ่งนี้เป็นผลต่อปฏิกิริยาการเข้าเครื่องจับเท็จ อันจะก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนขึ้นได้อีกทั้งตรวจวัดการเต้นหัวใจ ความดันโลหิตปกติ เพื่อเก็บข้อมูลนำเทียบเคียงหลังเข้าเครื่องวิเคราะห์ผลลัพธ์ความน่าเชื่อถือ ทั้งอธิบายกลไกการทำงานให้ผู้เข้าเครื่องผ่อนคลายความเครียดทางจิตใจ เช่น สหรัฐอเมริกามักสาธิตเข้าเครื่องถามคำถามง่ายๆ หากโกหกเครื่องจะแสดงผลอันเป็นหลักจิตวิทยาให้เกิดความกลัวไม่กล้าโกหกขึ้น ประการถัดมา...“กลไกการจับเท็จ” ผู้ปฏิบัติต้องผ่านการฝึกอบรม ทักษะ ประสบการณ์ เทคนิคการจับการเปลี่ยนแปลง “ระบบหายใจ” คนโกหกตื่นเต้นการหายใจก็เร็วแรงขึ้น “วัดความดันโลหิต” คนตื่นเต้นความดันโลหิตก็จะสูงขึ้น “วัดความต้านทานกระแสไฟฟ้าที่ผิวหนัง” ยิ่งตื่นเต้นยิ่งมีเหงื่อออกอันเป็นการวัดควบคู่ไปต่อมา “หลักปฏิบัติประเมินผล” เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจะเป็นผู้ประเมินร่วมกับฝ่ายสืบสวน และผู้เชี่ยวชาญด้วยการถาม...ตอบลำดับเหตุการณ์เกี่ยวข้องแบบคำถามซ้ำๆ วนไปวนมา เพราะคนพูดความจริงแม้ย้อนถามหลายครั้งคำตอบก็คงเหมือนเดิม แล้ววัดระดับการเต้นหัวใจ วัดปริมาณเหงื่อชั้นผิวหนังที่มีกล้องบันทึกไว้ตลอดหากว่า “ผู้ต้องสงสัยมีพิรุธจะตอบไม่ตรงกัน หรือโกหกชีพจรจะเต้นผิดปกติ” เพราะต้องเข้าใจว่าแต่ละคนมีหลักการบริหารจัดการอารมณ์แตกต่างกัน โดยเฉพาะ “ผู้ไม่เคยกระทำความผิด” ส่วนใหญ่จะเกรงกลัวความผิดต้องถูกลงโทษติดคุก จนมักมีความเครียดไม่สามารถบริหารจัดการอารมณ์ได้ด้วยซ้ำจริงๆแล้ว...“การเข้าเครื่องจับเท็จต่างจากการสอบปากคำ” กล่าวคือเพราะด้วยเหตุจาก “ข้อพิรุธการพูดโกหกบางประการ” ไม่อาจสังเกตด้วยตาเปล่าได้ ทำให้ต้องใช้เครื่องจับเท็จช่วยประเมินให้เข้าใกล้ความจริงมากขึ้น เช่นกรณี “คดีน้องแตงโมตกน้ำเสียชีวิต” ที่อาจเกิดจากพลัดตกเอง หรือมีคนทำให้ตกหรือไม่ นั่นหมายความว่า “การสอบปากคำผู้อยู่ในที่เกิดเหตุมักบันทึกเฉพาะสิ่งที่เห็นเหตุการณ์เบื้องต้น” แต่ถ้าเข้าเครื่องจับเท็จมักต้องมีคำถามพิเศษจี้เจาะหาข้อเท็จจริง หรือพิรุธอื่นๆ หากพูดโกหกเครื่องจะปรากฏการเปลี่ยนแปลงของปฏิกิริยาทางร่างกายขึ้นทันทีแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะประเมินทำการวิเคราะห์สรุปผลได้ชัดเจนพ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ บอกต่อว่า เครื่องจับเท็จมีใช้ในไทยอาจระบุความแม่นยำได้ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีความแม่นยำสูงมาก กลับถูกนำมาใช้คลี่คลายคดีอาญาค่อนข้างน้อย เพราะข้อจำกัดในเรื่องผู้ประเมินต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญผ่านการฝึกอบรม มีทักษะ ประสบการณ์ แล้วเครื่องนี้ก็มีอยู่ค่อนข้างจำกัดอีกด้วยทั้งที่จริงควรมีใช้ทุกโรงพักด้วยซ้ำ เพราะหาก “ตำรวจทำคดีฆาตกรรม” ปรากฏจับกุมคนร้ายได้มาก “อาชญากรรม” ก็มีแนวโน้มลดลง แล้วเครื่องจับเท็จก็จะเป็นอุปกรณ์สำคัญในการสืบสวนพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามมาปัญหามีว่า “ผลพิสูจน์ข้อเท็จจริงในคดีอาญา” ไม่อาจนำมาใช้เป็นหลักฐานการดำเนินคดีผู้กระทำความผิดได้ เช่น มีเฉพาะหลักฐานจากเครื่องจับเท็จอย่างเดียวแบบนี้มีน้ำหนักน้อยมากศาลอาจไม่ลงโทษก็ได้ แต่ก็ใช่ว่าศาลไม่รับฟังข้อเท็จจริงนี้ที่อาจต้องนำผลพิสูจน์จากเครื่องจับเท็จมาพิจารณาประกอบร่วมกับหลักฐานอื่นด้วยตอกย้ำว่าการพิสูจน์ข้อกล่าวโทษผู้ก่อคดีอาชญากรรมจำเป็นต้องค้นหาข้อเท็จจริงพยานหลักฐานให้มากที่สุด ทั้งพยานบุคคล นิติวิทยาศาสตร์ พยานวิทยาศาสตร์หรือหลักฐานทางนิติเวช นำมาประกอบดำเนินคดีแล้วเครื่องจับเท็จเป็นอุปกรณ์เข้ามาเพิ่มน้ำหนักพยานหลักฐานเหมือนดั่งจิ๊กซอว์ยิ่งต่อมากก็ย่อมเห็นภาพชัดเจนขึ้นเรื่อยๆต้องเข้าใจว่า “คดีอาญาจำเป็นต้องหาพยานหลักฐานชี้ให้ศาลปราศจากข้อสงสัยทั้งปวง” แล้วในการรับฟังให้น้ำหนักเครื่องจับเท็จมักน้อยกว่าหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เพราะข้อจำกัดของเครื่องจับเท็จเองก็มี เช่น คนกระทำความผิดบ่อยครั้งมัก “โกหกเป็นนิสัยเป็นประจำ” อาจจะไม่แสดงปฏิกิริยาทางร่างกายเท่าไร บางคนใช้สารเสพติด มีปัญหาทางสมอง โรคหัวใจ ความดัน ก็อาจส่งผลต่อค่าของเครื่องได้เช่นกันปัจจุบัน “ประเทศไทย” นำเทคโนโลยีใช้ในกระบวนการยุติธรรมน้อย แล้วยิ่งโลกยุคนี้อยู่ในยุคไอทีการตามล่าตัวคนร้ายมักมีความลำบากและการสืบสวนสอบสวนหาพยานหลักฐานให้ทราบข้อเท็จจริงแห่งคดีมักเดินตามหลังผู้กระทำผิดเสมอ ด้วยเพราะการลงทุนนำเทคโนโลยีมาใช้น้อยกลายเป็นงานท้าทายตำรวจไทยมาตลอดตามข้อมูลสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) เก็บสถิติก่ออาชญากรรมในช่วง 3 ปีก่อนหน้านี้คดีเกี่ยวกับลักทรัพย์ และความผิดต่อร่างกายที่เกิดขึ้นจริงหลักล้านคดี แต่ตำรวจรับดำเนินคดีหลักหมื่นคดี ฉะนั้นหมายความว่า “มีหลายคดียังไม่สามารถจับกุม” เพราะเราค่อนข้างให้ความสำคัญคดีไม่เท่ากันฉะนั้นย้ำว่า “อาชญากรรม” มีแนวโน้มขยายตัวรุนแรงขึ้น “วิทยาศาสตร์ประยุกต์” ย่อมมีความสำคัญต่อกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้ก้าวทันโลกอาชญากรอนาคต...ในส่วน “คดีแตงโมดาราสาวจมน้ำเสียชีวิตปริศนา” ต้องรอตำรวจสืบสวนสอบสวนเป็นผู้สรุปผลออกมาชัดเจนอีกครั้ง.อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องตำรวจ เผย 4 คนบนเรือ ไม่พลิกคำให้การ เตรียมแถลงคดี "แตงโม" บ่ายสองวันนี้ตร.ภาค 1 ตั้งทีมโฆษก แถลงชี้แจงคดีแตงโมโดยเฉพาะ แม่ขอชันสูตรใหม่วงจรปิด แก๊งสปีดโบ๊ต นัดกันที่ปั๊มน้ำมัน แต่ไม่มี "กระติก"แม่แตงโม ส่งทนายพบตำรวจ ขอ "ชันสูตรศพใหม่" มีข้อสงสัยหลายอย่างหรือจะเป็นคนนี้ ทนายษิทรา เปิดตัวคนใกล้ชิด แตงโม ร่วมหาความจริงการตาย