แม้รัฐบาลจะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญบางคนระบุว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดระลอกที่ 5 โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงว่ากระทรวงสาธารณสุขขอปรับระดับพื้นที่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทั่วประเทศ โดยยกพื้นที่สีส้มจาก 39 เป็น 69 จังหวัด

ส่วนพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) ยังคงเดิม 8 จังหวัด รวมทั้ง กทม. กาญจนบุรี กระบี่ ชลบุรี นนทบุรี ปทุมธานี พังงา และภูเก็ต มีการขยายการทำงานจากบ้าน ถึงวันที่ 30 มกราคม ยกระดับแจ้งเตือนภัยจากระดับ 3 เป็น 4 ชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด งดกิจกรรมรวมกลุ่ม บางจังหวัดงดจัดวันเด็กและวันครู

เหตุที่รัฐบาลต้องกลับมาใช้มาตรการเข้มข้น รวมทั้งห้ามดื่มสุราเมรัยในร้านอาหาร ใน 69 จังหวัด เนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดของ “โอมิครอน” ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ที่ระบาดรวดเร็ว แต่ไม่รุนแรง การติดเชื้อพุ่งสูง แต่เสียชีวิตลดลง เช่น สหรัฐอเมริกา บางวันติดเชื้อใหม่ถึงวันละหลายแสนคน ทั้งที่มีอัตราฉีดวัคซีนสูง

จากข้อมูลจนถึงวันที่ 7 มกราคม ระบุว่ามีคนติดเชื้อโควิดทั่วโลก 300,933,978 คน เสียชีวิต 5,491,424 ราย ส่วนคนไทย ติดเชื้อสะสม 2,252,776 คน เสียชีวิต 21,779 คน ผู้ติดเชื้อใหม่พุ่งขึ้นจาก 5,775 คน ของวันก่อน เป็น 7,326 คน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญบางคนประเมินว่า อาจมีการติดเชื้อถึงวันละ 30,000 คน

รัฐบาลจึงต้องเร่งรณรงค์ฉีดวัคซีน โดยเฉพาะเข็ม 3 อย่างรีบด่วน แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญบางท่านปลอบใจว่า โอมิครอน อาจเข้าสู่ร่างกายทุกคน และไม่ได้เป็นผลเสีย เพราะจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ทำให้อาการ ไม่รุนแรง ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลและไม่ถึงตาย แต่จะประมาทไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะความประมาทคือความตาย

...

การเร่งฉีดวัคซีนโดยเฉพาะเข็ม 3 จึงเป็นความหวังและที่พึ่งของทุกคน แต่น่าเสียใจ เพราะดูเหมือนว่าประเทศไทยกำลังมีปัญหาวัคซีนอีกครั้ง คล้ายกับช่วงแรกๆที่ผ่านมา และทั้งที่ผ่านประสบการณ์มาโชกโชน แต่ก็เกิดปัญหาการขอฉีดวัคซีนเข็ม 3 หลายโรงพยาบาลบอกว่าเต็มแล้ว บางแห่งให้รอนานถึง 2 เดือน

มีรายงานข่าวขอให้ประชาชนใจเย็นๆ ขอให้รอนัดหมายจาก “หมอพร้อม” เหมือนอย่างเคย แต่ก็ยังเงียบๆอยู่ ผู้คนเป็นอันมากจึงไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจว่าจะได้รับบริการวัคซีนทันสถานการณ์หรือไม่ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่นายก รัฐมนตรีคุยว่าเป็นผลงานจากการเปิดประเทศของรัฐบาล อาจได้มาด้วยราคาแพง.