วันนี้วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 อันเป็นที่รักยิ่งของพสกนิกรชาวไทย ตลอดรัชสมัยของพระองค์ทรงทำงานอย่างหนักเพื่อความผาสุกของประชาชน มีโครงการพระราชดำริเกิดขึ้นมากมายหลายพันโครงการ หนึ่งในนั้นคือ “การบริหารจัดการน้ำท่วม” ทรงให้แนวทางและทำเป็นตัวอย่างมากมาย เช่น การขุดคลอง ลัดโพธิ์ เพื่อย่นระยะทางไหลของน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อบรรเทาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ไปจนถึง การสร้างคลองผันน้ำ เพื่อตัดน้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาไปลงทะเลสองฟากกรุงเทพฯน่าเสียดาย 10 ปีผ่านไปตั้งแต่น้ำท่วมใหญ่ 2554 แทนที่รัฐบาลจะเร่งสานต่อโครงการพระราชดำริที่วางไว้ให้เสร็จ กลับไปตั้งหน่วยงานน้ำขึ้นมามากมาย ใช้งบกันมหาศาล แต่โครงการกลับล่าช้าอย่างยิ่ง พายุเตี้ยนหมู่ มาแป๊บเดียว เกิดอุทกภัยหนักถึง 33 จังหวัด ซ้ำร้ายท่วมหนักกว่าปี 54 ราษฎรได้รับผลกระทบกว่า 316,800 ครัวเรือน ไร่นาเสียหายหลายล้านไร่สภาพัฒน์ ได้รวบรวม “การบริหารจัดการน้ำท่วม” ของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ไว้ในหนังสือ “แนวพระราชดำริการพัฒนาที่ยั่งยืน” ผมขออนุญาตนำมาเล่าต่อ ให้ผู้รับผิดชอบน้ำในรัฐบาล กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ทบทวนการทำงานที่ล่าช้า จนเกิดความเสียหายแก่ประเทศ และประชาชนมหาศาล การบริหารจัดการน้ำท่วม ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงให้ความสำคัญ ศึกษาวิเคราะห์ด้วยพระองค์เอง จากลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วม ทรงศึกษาทั้งเอกสาร แผนที่ และรายงานทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเสด็จลุยน้ำเพื่อตรวจสภาพจริง แล้วจึงพระราชทานวิธีแก้ไขและการป้องกันจากบันทึกของ สภาพัฒน์ พระองค์ทรงวางแนวทางบริหารจัดการเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมไว้หลากหลาย แต่ขอยกบางส่วนมาเล่าสู่กันฟัง1.การสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำ เช่น เขื่อนขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก เพื่อบรรเทาปัญหาวิกฤติ 3 ประการ คือ น้ำท่วม น้ำแล้ง และปัญหาดินเปรี้ยว และ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยในช่วงฤดูน้ำหลาก บริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสักตอนล่างและลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ส่งผลถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล2.การก่อสร้างทางผันน้ำ ทรงมีหลักการว่า จะผันน้ำในส่วนที่ไหลล้นตลิ่งออกไปจากลำน้ำโดยตรง ปล่อยน้ำส่วนใหญ่ที่มีระดับไม่ล้นตลิ่งให้ไหลอยู่ในลำน้ำตามปกติ เช่น การผันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา ทางตะวันตกผันเข้าแม่น้ำท่าจีน แล้วผันลงสู่ทุ่งบริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี ก่อนระบายออกสู่ทะเล ด้านตะวันออกผันน้ำเข้าคลองระพีพัฒน์ เข้าสู่ คลอง 13 จากนั้นระบายออก คลอง 14 น้ำส่วนหนึ่งจะถูกผันไปลง แม่น้ำบางปะกง อีกส่วนหนึ่งไปลง คลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต ผ่านสู่ คลองชายทะเล หรือผันน้ำออกสู่ทะเลโดย คลองสนามบิน3.การสร้างคันกั้นน้ำ 4.การปรับปรุงสภาพลำน้ำ เช่น โครงการคลองลัดโพธิ์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ความยาว 600 เมตร ช่วยย่นระยะทางระบายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงโค้งกระเพาะหมูที่ยาว 18 กม. เหลือ 600 เมตร สามารถบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพฯ ได้ เช่นเดียวกับ การขุดคลองบางบาล-บางไทร ระยะทาง 22.5 กม. เพื่อระบายน้ำเจ้าพระยาจากบางบาลตรงไปลงที่บางไทร ทำให้น้ำไม่ท่วมอยุธยา และได้ประโยชน์ทางชลประทาน แต่ก็ยังไม่เกิดเสียที ไม่รู้อีกกี่ปีจะเกิด น้ำก็ท่วมอยุธยาต่อไป5.การระบายน้ำออกจากที่ลุ่ม-โครงการแก้มลิง เป็นวิธีการที่ไม่มี ระบุไว้ในตำราใด ทรงเปรียบเทียบการกินอาหารของลิง หลังจากที่ลิงเคี้ยวกล้วยแล้วจะยังไม่กลืน แต่จะเก็บไว้ในแก้มทั้งสองข้าง แล้วค่อยๆดุนกล้วยมากินในภายหลัง ทรงรับสั่งว่า “...ถ้าไม่ทำโครงการแก้มลิงน้ำท่วมนี้จะเปรอะไปหมด อย่างที่เปรอะในปีนี้ เปรอะไปทั่วภาคกลาง จะต้องทำ “แก้มลิง” เพื่อที่จะเอาน้ำนี้ไปเก็บไว้ และเอาน้ำออกเมื่อมีโอกาส...”ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงศึกษาและ “จุดประกาย” โครงการต่างๆ ไว้มากมาย ทรงเป็น “ครูของแผ่นดิน” อย่างแท้จริง ขอเพียงลูกศิษย์โดยเฉพาะรัฐบาลศึกษาและเดินตามรอยพระองค์ท่าน ประเทศชาติก็เจริญแน่นอน ไม่ลำบากทุกปีเหมือนอย่างทุกวันนี้.“ลม เปลี่ยนทิศ”