ถ้าเลือกได้คงไม่มีเด็กนักเรียนคนไหนอยากเรียนออนไลน์ อดไปเจอเพื่อน ไม่ได้เล่นสนุก ขาดสันทนาการตามวัย ที่สำคัญสมาธิการเรียนก็ไม่จดจ่อเท่ากับเรียนในชั้นเรียน โดยเฉพาะเด็กเล็กชั้นอนุบาลและประถม มีจำนวนมากที่เรียนตามเพื่อนไม่ทัน หนักเข้าก็พานไม่เรียนวิชานั้นๆไปเลย ในห้องออนไลน์ครูไม่เห็นปฏิกิริยาสีหน้าเด็กได้หมด จึงไม่สามารถตามเคี่ยวเข็ญช่วยอธิบายให้เกิดความเข้าใจได้ครบทุกคน

พ่อแม่ผู้ปกครองอยากรู้ว่าปลายทางอยู่ตรงไหน? เรียนออนไลน์มีประสิทธิภาพจริงหรือ? แล้วจะมีวิธีอื่นไหมให้ลูกได้กลับไปเรียนอย่างมีคุณภาพ?

คำถามเหล่านี้ผู้นำประเทศและผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ไม่เคยมีคำตอบชัดเจน มีแต่คำปลอบใจกึ่งมัดมือชกให้จำใจรับสภาพนี้ไปเรื่อยๆ

วันนี้ผมอยากให้ทุกท่านได้อ่านบทสัมภาษณ์ของ ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ซึ่งสะท้อนปัญหาการเรียนออนไลน์ และวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่กระทรวงศึกษาฯไม่มีมาตรการเชิงรุกใดๆออกมาได้อย่างตรงจุด

ศ.ดร.สมพงษ์ระบุว่า ปัญหาใหญ่ของการเรียนออนไลน์คือ เด็กเครียด ขณะนี้พบเด็กทั่วประเทศโดดเรียนออนไลน์กว่า 20% ถ้ายังจะต้องเรียนออนไลน์ต่ออีก 1 ปี คิดว่าการศึกษาไทยน่าเป็นห่วงอย่างมาก ทั้งในเชิงคุณภาพ ความถดถอยทางการศึกษา และสุขภาพจิตของเด็ก ทั่วโลกมีการศึกษาเรื่องผลกระทบจากการเรียนออนไลน์ พบข้อมูลตรงกันว่า ถ้าเด็กต้องเรียนออนไลน์จะเกิดความถดถอยทางการศึกษาประมาณ 20–50%

ระบบการศึกษาไทยเป็นระบบอนุรักษนิยม ติดกรอบติดระเบียบไปหมด บวกกับความกลัวการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด เป็นความกลัวเกินเหตุ ทำให้การจัดการศึกษาไม่ตอบสนองปัญหาที่เกิดขึ้นจริง

ช่วงที่ผ่านมามีเด็กติดเชื้อโควิดจำนวนหนึ่ง แต่ยังไม่พบข้อมูลเด็กเสียชีวิตจากโควิด ดังนั้นอยากเสนอให้กระทรวงศึกษาฯนำเงินสร้างโรงพยาบาลสนาม หรือศูนย์พักคอยในสถานศึกษา มาจัดซื้อวัคซีนให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา และเด็กทั่วประเทศจะดีกว่า จะทำให้การเรียนการสอนหลากหลายขึ้น เด็กสามารถไปเรียนในโรงเรียนได้ปกติ ถ้ากระทรวงศึกษาฯยังไม่หาวัคซีนมาให้เด็ก และดึงเวลาโดยให้เด็กเรียนออนไลน์ จะสร้างความเลวร้ายต่อระบบการศึกษาอย่างมาก

...

ศ.ดร.สมพงษ์ชี้ว่า ดูจากการเตรียมการที่ผ่านมาของกระทรวงศึกษาฯ ทำให้เห็นว่าการตัดสินใจต่างๆยึดส่วนกลางเป็นหลัก ไม่ได้ยึดโรงเรียนและเด็กเป็นหลักเลย มองแค่ว่าจะออกนโยบายอย่างไรที่จะได้รับแรงกระทบจากการเมืองน้อยที่สุด มองว่า น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ยังยึดติดอยู่กับระบบราชการ ติดอยู่กับการทำงานที่ต้องได้รับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ให้น้อยที่สุด ขอให้อย่ากลัวเกินเหตุ ต้องกล้าตัดสินใจ คิดถึงผลเสียทางการศึกษาที่เกิดขึ้นกับเด็ก และตลาดแรงงานด้วย อย่าคิดแต่ว่าต้องออกนโยบายที่ทำให้ ศธ.อยู่รอดปลอดภัยจากการวิจารณ์เท่านั้น

ผมเห็นด้วยกับ ศ.ดร.สมพงษ์ว่า กระทรวงศึกษาฯควรออกหน้ามาจัดหาวัคซีนให้กับเด็กนักเรียน เพราะการไม่มีวัคซีนเท่ากับเป็นการบังคับให้เด็กถูกกักขังอยู่แต่ในบ้าน การระบาดไม่ได้เท่ากันทุกพื้นที่ พื้นที่ระบาดมาก ฉีดวัคซีนแล้วช่วยเด็กลดความเสี่ยง พื้นที่ระบาดน้อย เด็กก็จะออกมาผ่อนคลายข้างนอกได้บ้าง มีบางประเทศฉีดวัคซีนให้เด็กแล้ว นายกฯบิ๊กตู่ และ ศบค. ควรพิจารณาประเด็นนี้และให้การสนับสนุน

ส่วนหลังจากฉีดวัคซีนให้เด็กแล้วจะได้ไปเรียนตามปกติหรือไม่ และพ่อแม่จะกล้าให้ลูกไปโรงเรียนหรือไม่ คงต้องดูตามสถานการณ์อีกที เป็นหน้าที่ของกระทรวงศึกษาฯจัดเตรียมแผนรองรับ

ตำแหน่งรัฐมนตรีได้มาอย่างไรก็เรื่องหนึ่ง แต่เมื่อมาแล้วต้องมีผลงาน อย่าปล่อยเด็กถูกลอยแพ.

ลมกรด