วันนี้สิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับ “ประเทศไทยและผู้คนในสังคมไทย” เพราะพิษของ “ไวรัสโควิด-19” ผู้บริหารสังคมและประเทศชาติจะต้องทำอย่างไร ที่จะต้องไม่ “สูญเสีย” ชีวิตผู้คนในชาติมากมายเป็นประวัติการณ์เช่นนี้ หรือ...จะปล่อยให้เป็นเรื่องของ “ชะตากรรมคนไทย” ไปตามยถากรรมต่อไป?

อาจารย์หมอประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวย้ำไปหลายต่อหลายครั้ง ปัญหาของประเทศไทยมีนโยบายต่างๆมากมายที่ไม่ได้ผล เพราะทำเป็นบางส่วน ไม่เป็นระบบครบวงจร
“ถ้าทำเป็นระบบครบวงจรก็ไม่มีทางที่จะไม่ได้ผล”
อุปมาอุปไมยเรื่องระบบมีให้เห็นรอบตัว “รถยนต์” หรือ“เครื่องบิน” ถ้าออกแบบระบบให้ถูกต้องและประกอบเครื่องครบ ก็เป็นรถยนต์ที่วิ่งได้ หรือเครื่องบินที่บินได้ แต่ถ้าทำเป็นส่วนๆหรือบางส่วนก็ไม่มีรถยนต์หรือเครื่องบินที่จะวิ่งได้หรือบินได้
มหาวิกฤติไทย...วิกฤติโลกครานี้ “การเมืองฝ่ายค้าน ภาคเอกชน ภาคสังคม” เรียกได้ว่า “ทุกฝ่าย...ทุกคน” ต้องเข้ามาช่วยแก้ปัญหาวิกฤตินี้ด้วยกันอย่างแข็งขัน การเมืองตกสภาวะ “Locked in”อาจารย์หมอประเวศ บอกว่า การเมืองตกสภาพเขยื้อนก็ไม่ได้ สมรรถนะในการแก้วิกฤติก็ไม่มี...
...
สภาพ “Locked in” เกิดจากโครงสร้างอำนาจแบบที่มีมาในประวัติศาสตร์เป็นพันๆปี ที่เขาเรียกว่า The Power that be บ้าง The Establishment ที่ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ...
“ชนชั้นสูงหรือผู้ดีเก่า”...“กองทัพ”...“พ่อค้า หรือนายทุนบางส่วน”

“โครงสร้างอำนาจสามเส้านี้กำหนดผู้บริหารประเทศ ต่อต้านคนรุ่นใหม่ และการเปลี่ยนแปลง เป็นโครงสร้างที่ขัดแย้งกับธรรมชาติความเป็นจริงคือคนรุ่นใหม่ต้องเข้ามาแทนที่คนรุ่นเก่า และ...เก่าจะต้องเปลี่ยนเป็นใหม่ตามธรรมชาติของความเป็นอนิจจัง”
เมื่อโครงสร้างอำนาจทำให้เปลี่ยนไม่ได้ แต่ตัวเองก็ทำงานไม่ได้ผล จึงนำไปสู่ความระส่ำระสาย ปั่นป่วน รุนแรง เช่นนี้เสมอมาในประวัติศาสตร์จีนอันยาวนาน
หันกลับมามอง “การเมืองไทย” ในปัจจุบันก็ตกอยู่ในสภาพล็อกอินเพราะเหตุดังกล่าว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ก็ทำงานไม่ได้ผล ความระส่ำระสายและความรุนแรงจะตามมาถ้าปลดล็อกไม่ได้
มองอนาคตชีวิตต้องเดินหน้า...ขอชูประเด็น “100 มหาวิทยาลัย 1 ล้านนิสิต”ขุมกำลังปัญญาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ สร้างพลังบวกคลี่คลายวิกฤติ
อาจารย์หมอประเวศ ขยายความต่อไปว่า ประเทศไทยมีสถาบันอุดมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนกว่า 100 แห่ง มีนิสิตนักศึกษารวมกันกว่า 1 ล้านคน มีคณาจารย์นักวิชาการหลายแสนคน เป็นขุมกำลังทางปัญญาที่ใหญ่ที่สุด ทำอย่างไร...ขุมกำลัง 100 มหาวิทยาลัย จะเป็นพลังทางปัญญาพาชาติออกจากวิกฤติ
นี่คือประเด็นเร่งด่วนที่ต้องตีโจทย์ให้แตกและลงมือปฏิบัติโดยเร็ว

ที่ผ่านๆมา...สาเหตุใหญ่สองประการ ที่มหาวิทยาลัยไม่เป็น “พลังทางปัญญา” พาชาติออกจากวิกฤติ ประการที่หนึ่ง... มหาวิทยาลัยมุ่งสอนแต่ไม่ลงมือทำ ผลคือบัณฑิตตกงาน และบัณฑิตที่ทำไม่เป็น กลายเป็นภาระของประเทศ
อย่างที่พูดกันว่าแทนที่จะเป็น “แบตเตอรี่” กลับเป็น “ตุ้มถ่วง” หรือโหลด...load
ประการที่สอง...มหาวิทยาลัยขาดสมรรถนะในการคิดเชิงระบบและการจัดการ ได้แต่คิดเชิงพฤติกรรมส่วนบุคคล และคิดเชิงเทคนิค จึงได้แต่ทำอะไรเล็กๆไปตามเทคนิคที่แต่ละคนมี
ที่เรียกว่า Technic-driven ไม่สามารถทำประโยชน์ใหญ่ได้ และ...ทะเลาะกันสูง เพราะคิดเชิงพฤติกรรมส่วนบุคคลจึงขาดพลังสร้างสรรค์ ...ด้วยเพราะเหตุใหญ่สองประการข้างต้นนี้ “มหาวิทยาลัย” จึงไม่สามารถเป็น “หัวรถจักรทางปัญญา” พาชาติออกจากวิกฤติ แม้ 100 มหาวิทยาลัย 1 ล้านนิสิต จะเป็นขุมกำลังทางปัญญาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศก็ตามที
...
ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะทำ...เพื่อฝ่าวิกฤติไปให้ได้ พุ่งเป้าไปที่...นโยบายเร่งด่วนที่กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ควรทำ เริ่มจาก...หลักสูตรการเรียนรู้ในฐานการทำงาน (Work-Based Learning) เพื่อสร้างคนไทยที่ทำเป็น คิดเป็น จัดการเป็น และเป็นพลังทางเศรษฐกิจ
หัวใจสำคัญก็คือ...หลักสูตรต่างๆทุกระดับควรเปลี่ยนฐานการเรียนรู้จาก “ท่อง” เป็น “ทำ”
นั่นคือเรียนรู้จากการทำงาน หรือ “WBL” หรือ “สหกิจศึกษา” ให้มากที่สุด ที่จะไม่เกิดปัญหาบัณฑิตตกงาน...บัณฑิตทำงานไม่เป็น เพราะเรียนรู้ในฐานการทำงาน ซึ่งมีรายได้ตั้งแต่ยังเรียน และไม่มีการตกงานเพราะสามารถปรับตัวไปกับการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
“การเรียนรู้ในฐานการทำงานยังสร้างพฤติกรรมที่ดีเพราะมีแรงจูงใจ กล่าวคือ ใครขยันและรับผิดชอบจะมีรายได้มากขึ้น ใครหาความรู้เพิ่มเติมที่ทำงานให้ดีขึ้นจะมีรายได้มากขึ้น สถานศึกษาก็ต้องขวนขวายหาความรู้ที่ตรงกันที่จะทำให้งานได้ผลดีขึ้น สถานศึกษาก็จะมีรายได้มากขึ้น เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น”
มิติต่างๆเหล่านี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า “WBL” เป็นจุดคานงัดที่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
ถัดมา...มหาวิทยาลัยกับการทำงานในพื้นที่ 1 มหาวิทยาลัยต่อ 1 จังหวัด ประเทศไทยมี 77 จังหวัดก็ใกล้เคียงกับจำนวนมหาวิทยาลัย แต่ละจังหวัดควรมีมหาวิทยาลัยอย่างน้อย 1 แห่ง ที่ร่วมพัฒนาจังหวัดอย่างบูรณาการโดยเอาชุมชนท้องถิ่นเป็นตัวตั้ง
ในการนี้จะปรับมหาวิทยาลัย จากการ “ท่อง” เป็นการ “ทำ” พร้อมๆกับสร้างสมรรถนะในการคิดเชิงระบบและการจัดการ ชุมชนท้องถิ่นเป็นฐานของประเทศ ถ้าฐานของประเทศแข็งแรงก็จะรองรับประเทศทั้งหมดให้มั่นคง การที่มหาวิทยาลัยไปทำงานกับพื้นที่จะทำลายอุปสรรคที่ขวางกั้นการพัฒนาประเทศ
...

“อุปสรรค” ที่ว่านั้นคือ การที่คนไทยไม่รู้ความจริงของประเทศไทย เพราะระบบการศึกษาที่เอาตำราเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เอาความจริงหรือเอา ชีวิตจริงปฏิบัติจริงของคนฐานล่างเป็นตัวตั้ง ทำให้ชนชั้นนำไม่รู้จักสังคมข้างล่างทำให้ทำอะไรไม่ถูก วิกฤติโควิดคราวนี้แสดงประเด็นนี้ให้เห็นอย่างชัดเจน
1 มหาวิทยาลัย 1 จังหวัด จึงเป็นจุดคานงัดที่ส่งผลกว้างลึกยาวไกลต่อประเทศไทย
สุดท้าย...ฝึกอบรมรองอธิการบดีและผู้ช่วยอธิการบดีที่มีทั้งหมดประมาณ 2,500 คน ให้เป็นนักขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ เป็น “นักสัมฤทธิศาสตร์” ซึ่งนโยบายสาธารณะเป็นปัญญาสูงสุดของชาติใดชาติหนึ่ง เพราะมีผลต่อทุกองคาพยพของประเทศทั้งทางดีหรือทางร้าย...
“สัมฤทธิศาสตร์” กระบวนการนี้ต้องผ่านการสังเคราะห์นโยบาย...การตัดสินใจทางนโยบายและการบริหารจัดการนโยบายไปสู่ความสำเร็จ ขอให้ลองนึกภาพตาม
ถ้า “ประเทศไทย” มี “กองทัพนักสัมฤทธิศาสตร์” จะเป็นกำลังมหาศาลที่ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การลงตัวขนาดไหน
“เราจะหลุดจากสภาวะวิกฤติเรื้อรัง อยู่กับความจริง และยกระดับไปสู่ความเจริญอย่างแท้จริง”...อนาคตลูกหลานไทยฝากไว้กับความจริงในวันนี้ แน่นอนว่า...ไม่มีคำว่า “สาย” เกินที่จะ “แก้”.
...
