ท่ามกลางการระบาดรุนแรงมากขึ้น ขยายเป็นวงกว้างจนไม่มีเตียงพอที่จะรองรับผู้ป่วย ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร...ปริมณฑล และอาจจะกระจายไปยังจังหวัดต่างๆอีกครั้ง

ปัญหาสุขภาพอื่นๆของประชาชนก็ยังคงต้องเป็นหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ในแต่ละพื้นที่ให้ต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ทอดทิ้งใคร แม้จะยากลำบากสักเพียงใด

เหตุเกิดที่ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก...มีผู้ป่วยเด็ก ครอบครัวอาศัยบนดอย พื้นที่ห่างไกลเข้าถึงยากลำบาก ถนนลูกรัง หน้าฝนรถจะเข้าไม่ถึง ต้องเดินเท้ากว่า 6 กิโลเมตร น้องพยาบาลที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในพื้นที่ได้รับรายงานว่ามีผู้ป่วยเด็ก หอบมากจนแทบจะหยุดหายใจ...

จึงตัดสินใจนำเวชภัณฑ์ ยา อุปกรณ์การแพทย์ช่วยชีวิต ถังออกซิเจน พร้อมขอกำลังจากทหารพรานในพื้นที่ เดินทางขึ้นไปบนดอย ตามพิกัดที่แจ้งเอาไว้ แต่รถเข้าไม่ถึง ต้องเดินเท้ากว่า 6 กิโลเมตร ขนอุปกรณ์ขึ้นไปจนถึงบ้านของผู้ป่วย เห็นเด็กน้อยๆหอบหืดจนหน้าเขียว เพราะขาดออกซิเจน จึงจัดการรักษาเบื้องต้นให้ออกซิเจน พ่นยาแก้หอบหืดเอาผู้ป่วยเด็กมาปฐมพยาบาลต่อที่ รพ.สต. พ่นยาแก้หอบหืดต่อถึง 4 ครั้ง แต่เด็กไม่ดีขึ้น จึงตัดสินใจต้องเอาเด็กส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลท่าสองยาง แต่เรื่องไม่ง่ายแค่นั้น เพราะแม่เด็กไม่ยอมให้เอาลูกไปรักษา ยังมีความเชื่อเรื่องผีสางเทวดากันอยู่

...

หนูเหลียวหลังไปมองเด็กน้อยที่หายใจทางปากนั่งมองมาทางหนูตาปริบๆ อาการหอบของเขาไม่ทุเลาเบาบางลงเลย ทั้งที่พ่นยาไปแล้วถึงสี่ครั้ง ในขณะที่ทุกคนบนรถเบือนหน้าหนี “...ขอเราลองอีกครั้งเดียว ถ้าครั้งนี้ไม่สำเร็จเราจะยอม...” หนูเดินไปยังรถทหารพราน ที่จอดรอหนูขึ้นรถเพียงคนเดียว

“...ทหารทุกคนลงจากรถค่ะ แล้วไปด้วยกัน...” หนูออกคำสั่งอย่างไม่กลัวอะไรอีกต่อไป ทหารพรานทุกคนลงจากรถและเดินตามมาทันที ที่บ้านของแม่เด็ก มีเพียงพ่อของเด็กเท่านั้นที่ถือถุงผ้ารอ เขาไม่อาจพา ลูกน้อยที่ป่วยหนักออกไปจากบ้านได้ ทันทีที่หนูเดินมาถึง...“ไหนคน ไหนที่ไม่ยอมให้เอาเด็กไปรักษา ออกมาคุยกันให้รู้เรื่องค่ะ เด็กป่วยหนักขนาดนี้ทำไมไม่ยอมให้เอาไปรักษา เขาหายใจไม่ออก พ่นยาไปสี่ครั้งแล้วยังไม่ดีขึ้นเลย ถ้าเขาตายไปต่อหน้าต่อตาจะทนได้มั้ย ลูกก็ลูกของตัวเองทำไมไม่รัก มีปัญหาอะไรทำไมไม่ออกมาคุยกัน”

...รู้มั้ยว่าการปล่อยให้เด็กทุกข์ทรมานจนถึงแก่ความตายมันมีความผิดทางกฎหมาย ใครก็ตามที่ปล่อยให้เด็กทุกข์ทรมานจนถึงแก่ความตาย เราจะแจ้งความเอาผิดทางกฎหมาย พ่อแม่ก็ไม่มีสิทธิปล่อยให้ลูกตาย ตกลงจะไปมั้ย (พ่อของเด็กพยักหน้า)...“ใครคิดจะขวางก็ออกมาตอนนี้เลย...”

สิ้นเสียงพูดของหนู แม่ของเด็กยังเงียบกริบอยู่ในบ้าน หนูจึงหันหลังกลับเดินออกมาจากบ้านเขาอย่างโล่งใจ มาถึงห้องพยาบาล ก็รีบพาเด็กกับพ่อเด็กขึ้นรถทหารพราน พร้อมกับถังออกซิเจน แล้วขับออกมา หนูมองเด็กน้อยด้วยความสงสารจับใจ แอบไปสะกิดพ่อของเด็กเบาๆ “...เราขอโทษนะที่พูดแบบนั้นออกไป”

หมอทำถูกแล้วครับ แม่มันดื้อ เป็นอะไรก็จะให้เลี้ยงผีอย่างเดียว “เราไม่ได้ลบหลู่หรอกนะเรื่องเลี้ยงผี แต่เราเป็นพยาบาล จะให้เราปล่อยให้คนตายต่อหน้าต่อตาทั้งที่เราช่วยได้เราทำไม่ได้หรอก ยังไงก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด” “พี่หมอดุมากเลยครับผมยังตกใจแต่ดุเขายังไงอ่ะเสียงสั่นเหมือนจะเป็นไข้เลย 55...” น้องทหารพรานพูดแซว

ตอนลงจากรถหนูให้เงินพ่อเด็กไว้ 1,000 บาท เขายกมือไหว้ขอบคุณ แล้วอุ้มลูกน้อยเดินขึ้นรถรีเฟอร์ที่มาจอดรออยู่ก่อนแล้ว หนูกับทหารพรานจึงขับรถตามหลังไป

5 วันผ่านไป...วันนี้ทราบข่าวจากพี่หมอหนึ่ง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าสองยาง บอกว่าเด็กทั้งสองปลอดภัยดี คนที่หามกันลงมาคนแรก ถอดเครื่องช่วยหายใจแล้ว วันนี้คนที่เอามาส่งคนที่สอง อาการดีขึ้นมาก สามารถถอดออกซิเจนได้แล้ววันนี้เช่นกัน ส่วนพ่อแม่ของเด็กได้รับประทานอาหารฟรีทุกมื้อเช่นกัน

ได้ยินแบบนี้แล้วสบายใจค่ะ ขอบพระคุณพี่หมอหนึ่ง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าสองยาง ที่ช่วยส่งข่าวบอกอาการของเด็กๆ และดูแลญาติของผู้ป่วยเป็นอย่างดี “...รู้ดีว่าเราไม่อาจช่วยใครได้ทั้งหมดบนโลกใบนี้ แต่สำหรับหนู ขอให้ได้ช่วยจนสุดมือก่อน ถ้ามันสุดมือแล้วจริงๆ เราก็จะยอมรับว่าเราได้ทำดีที่สุดแล้ว...”

#ขอบคุณเรื่องราวดีๆ ยี่หวา คีตา คิมหันต์ ตัดตอนมาจากเฟซบุ๊กเพจ “ชมรมแพทย์ชนบท

...

ท่ามกลางวิกฤติระบบสุขภาพไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส บอกว่า ที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่รู้จักใช้ประโยชน์จาก... “คณะกรรมการอิสระ” และไม่เข้าใจหลักการของคณะกรรมการอิสระ

คณะกรรมการอิสระที่ควรตั้ง คณะกรรมการระบาดวิทยาแห่งชาติ (National Epidemiology Board)

“นายกรัฐมนตรีแสวงหาคนที่มีปัญญาบารมีสูงสุดในเรื่องนั้นๆ ที่ยอมรับเป็นประธาน และให้ท่านตัดสินใจเลือกผู้ที่เหมาะสมที่สุดมาร่วมเป็นกรรมการ โดยรัฐบาลไม่ยุ่งเกี่ยวในการเสนอชื่อกรรมการใดๆ หรือวิธีทำงานของคณะกรรมการ แต่คอยอำนวยความสะดวกในการทำงานของคณะกรรมการด้วยประการทั้งปวง

และรับข้อเสนอแนะไปปฏิบัติ...คณะกรรมการอิสระจึงอยู่ในฐานะที่จะมีปัญญาสูงสุดและมีความคล่องตัวสูงสุด และรัฐบาลได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุดไปปฏิบัติ ทำให้เกิดความสำเร็จสูง”

ต่างจากคณะกรรมการแห่งชาติต่างๆที่รัฐบาลตั้ง แม้มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานก็ไม่ประสบความสำเร็จเกือบทั้งหมด เพราะนายกรัฐมนตรีก็ไม่ใช่ผู้รู้ดีที่สุดในเรื่องนั้นๆ

...

กรรมการก็มักผิดฝาผิดตัว ไม่ใช่ผู้ที่เหมาะสมที่สุด แต่เป็นโดยตำแหน่งบ้าง เป็นเพราะอยากเป็นแต่ไม่ได้อยากทำบ้าง เป็นเพราะเป็นคนรู้จัก หรือเป็นเพื่อนกับผู้มีอำนาจบ้าง ฯลฯ คณะกรรมการที่เป็นทางการต่างๆ จึงไม่ใช่คณะกรรมการอิสระ และยังขาดความคล่องตัว เพราะติดในรูปแบบ กฎระเบียบต่างๆ

“พะรุงพะรังไปหมด จึงไม่ได้ผลเป็นปัญหาของชาติ”

คณะกรรมการระบาดวิทยาแห่งชาติ (NEB) ควรประกอบด้วย...นักระบาดวิทยาที่เก่งที่สุด, นักไวรัสวิทยาที่เก่งที่สุด, นักเศรษฐศาสตร์ที่มีสมรรถนะในการวิเคราะห์สังเคราะห์นโยบายที่เก่งที่สุด

รวมกันประมาณ 20 ท่าน บวกกับประธานอีกหนึ่ง การแสวงหาประธานที่เหมาะสมคือ “กุญแจ” ของ “ความสำเร็จ”...ต้องทำขนาด “เล่าปี่” แสวงหา “ขงเบ้ง” ทีเดียว

ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์จีนอันยาวนาน จะรู้ว่าสิ่งที่เจ้าผู้ครองแคว้นทุกแคว้นแสวงหามากที่สุดคือ ที่ปรึกษาที่เก่งๆ ถ้าไม่มีที่ปรึกษาที่เก่ง มีแต่ผู้มีอำนาจ แคว้นนั้นเจ๊งลูกเดียว จะล้มหายตายจากไปอยู่ไม่ได้ ที่ปรึกษานี้คือ ขนาดขงเบ้ง ซึ่งโจโฉก็มี ซุนกวนก็มี

“ระบบรัฐไทย” ไม่รู้จักใช้ที่ปรึกษาขนาดขงเบ้ง แต่นำคำว่าที่ปรึกษามาใช้ผิดเพี้ยน เช่น ที่ปรึกษาแบบเทกระโถนบ้าง หรือเอามาเป็นตำแหน่งระดับหนึ่งของข้าราชการประจำบ้าง

ประธานคณะกรรมการอิสระก็คือ ที่ปรึกษาที่เก่งที่สุด ประดุจขงเบ้งนั่นเอง ต่อไปนายกรัฐมนตรี และกระทรวงทบวงกรม จะต้องรู้จักแสวงหาที่ปรึกษาระดับขงเบ้งมาช่วยงาน จะทำให้...“รบชนะ”

ประเวศ วะสี ทิ้งท้ายว่า ที่เสนอให้ตั้งคณะกรรมการระบาดวิทยาแห่งชาติ ณ บัดนี้ เพราะสังเกตว่านายกรัฐมนตรีเหนื่อยและมึนแล้ว ความเห็นที่ได้รับก็มีคุณภาพแตกต่างหลากหลาย แบบฉาบฉวย หรือ casual... ก็มี ถ้ามึนจนขาดวิจารณญาณในการเลือกตัดสินใจในระบบที่รวมศูนย์อำนาจอย่างนี้ก็เป็น...“อันตราย”.

...