การรับมือกับโควิด-19 ที่ล้มเหลวของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งเรื่อง การจัดหาวัคซีน การจัดการกับการแพร่ระบาด ไปจนถึงยุทธการล่าสุด ส่งผู้ติดเชื้อกลับไปรักษาที่บ้านต่างจังหวัด ด้วยการปิดแคมป์ก่อสร้างกะทันหัน ส่งผลให้ไวรัสโควิด-19 ระบาดไปทั่วประเทศเรียบร้อยแล้ว ส่วนใหญ่เป็น สายพันธุ์แขกเดลตาจากอินเดียที่ติดไวระบาดเร็ว วันนี้จังหวัดสีเขียวน่าจะเหลือไม่ถึง 10 จังหวัดแล้ว

ที่น่าเศร้าใจก็คือ วัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส ที่สหรัฐอเมริกาบริจาคให้ไทย กำลังเป็นดราม่าเดือดในโซเชียล ระหว่าง คุณหมอที่ต้องการฉีดเป็นเข็มที่ 3 ให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า กับ ฉีดให้กลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุ และ 7 โรคเรื้อรัง ที่ยังหาข้อยุติไม่ได้

ในขณะที่ โรงพยาบาลเอกชนกว่า 300 แห่ง ในนาม สมาคมโรงพยาบาล ขอซื้อ วัคซีนโมเดอร์นา 5 ล้านโดส เพื่อเป็น วัคซีนทางเลือก ผ่าน องค์การเภสัชกรรม กลับถูกยื้อด้วย ร่างสัญญาซื้อ ที่ล่าช้า เงื่อนไขให้เอกชนต้องนำเงินมาให้ครบก่อน ทั้งที่ องค์การเภสัชกรรมควรเป็นผู้ร่วมนำเข้าด้วยซ้ำ ผมไม่รู้ว่า ทำไม? กระทรวงสาธารณสุขจึงไม่อยากให้เอกชนนำเข้าวัคซีนทางเลือกที่เอกชนจ่ายเงินเอง ทั้งที่คุณหมอก็รู้ดี โมเดอร์นา มีประสิทธิภาพเหนือกว่า ซิโนแวค ป้องกันชีวิตประชาชนได้ดีกว่า รัฐบาลเองก็ไม่มีวัคซีนให้ประชาชนเพียงพอ การระบาดก็รุนแรงขึ้นทุกวัน ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวัน ล้มตายเพิ่มขึ้นทุกวัน ตายคาบ้านเพิ่มขึ้นทุกวัน

วัคซีนทางเลือก กำลังเป็นที่ต้องการของประชาชนอย่างมาก รพ.รามาธิบดี เปิดให้จอง วัคซีนโมเดอร์นา วันที่ 5-11 ก.ค. ปรากฏว่า เปิดจองวันแรก 08.30 น. แค่ 5 นาทีแรกก็เต็มแล้ว เร็วยิ่งกว่าตั๋วคอนเสิร์ตศิลปินดังเสียอีก 09.30 น. รพ.รามาธิบดีก็ต้องประกาศปิดการจอง

...

ผมเพิ่งอ่านเฟซบุ๊ก นพ.นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ซึ่งนำเข้า ซิโนฟาร์ม มาเป็นวัคซีนทางเลือกตัวแรก ไม่ถึงเดือนนำเข้ามาแล้ว 2 ลอต 2 ล้านโดส บริษัทเอกชนและองค์กรปกครองท้องถิ่นจองกันจนล้น นพ.นิธิ ให้ความเห็นว่า “ขณะนี้สถานการณ์ระบาดในบ้านเราโดยเฉพาะกรุงเทพฯและปริมณฑล มันระบาดไปมากไปไกลแล้ว คนเดินไปเดินมาเราไม่รู้แล้วว่าใครเป็นใคร ใครมีเชื้อในตัว บ้างเป็นจำนวนมาก

เราสมควร จัดลำดับความสำคัญ (Priority) ของแผนกลยุทธ์ใหม่ครับ กลยุทธ์ตอนนี้ ความสำคัญลำดับแรกไม่ใช่การป้องกันคนติดเชื้อหรือคนแพร่เชื้อเหมือนก่อนหน้านี้ (ตอนที่เรามีการระบาดน้อย) แต่ความสำคัญที่สุดที่ต้องทำกลับเป็นเรื่องการบริหารทรัพยากรคือ เตียงและ icu (ที่ไม่ใช่สักแต่ว่าเพิ่ม...ปลายเปิดไม่จำกัด) กับบุคลากรให้เพียงพอ

คนที่สงสัยว่า ได้สัมผัสหรือรับเชื้อและอยากตรวจต้องได้ตรวจ และด้วยปริมาณการตรวจที่อาจมีจำกัด เราควรลดการตรวจเชิงรุก (proactive case finding) ลง เพื่อให้ การตรวจมีเพียงพอในคนที่สงสัยและมีอาการ เคสที่ไม่จำเป็น (ไม่มีอาการ ป้องกันตัวเองได้ และสามารถเข้าถึงแพทย์ได้เร็ว) ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลให้เปลืองเตียงเปลืองบุคลากร ติดตามเฝ้าระวังที่บ้านได้ รพ.จุฬาภรณ์ ทำมาแต่แรกของการระบาด คัดกรองให้ดี ทำได้ไม่มีปัญหาครับ

นพ.นิธิ เสนอให้คิดใหม่ทำใหม่ การให้ยาให้เร็วป้องกันไม่ให้คนมีอาการหนัก ไม่ใช่รอให้ปอดอักเสบแล้วค่อยให้ยาต้านไวรัส ต้องให้ยาป้องกัน (prophylactic) คนที่คนในครอบครัวคนใกล้ชิดตรวจพบมีผลบวกคนหนึ่ง ให้ยาเลย และสุดท้าย วัคซีนรีบๆฉีดเข้าตัวอย่ารอเลือกคนได้ครบแล้วอย่ารีบแย่งเข็มสาม เห็นใจคนที่ยังไม่ได้บ้าง”

ผมเชื่อว่า แพทย์ในกระทรวงสาธารณสุขรู้ทุกคน ขอให้ทำกันอย่างเปิดเผยโปร่งใสบอกให้ประชาชนรู้ทุกอย่าง อย่าไปเกรงใจนักการเมืองหรือนายทหาร ที่ไม่รู้เรื่องแต่ดันมาเป็นนาย ผมเชื่อว่า ประชาชนจะเข้าข้างหมอที่ดีซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพแน่นอน เราจะต้องช่วยกันฝ่าวิกฤตินี้ไปให้ได้ด้วยกัน เพื่อรอดไปด้วยกันครับ.

“ลม เปลี่ยนทิศ”