เมื่อต้นฤดูฝน 2563 หน่วยงานด้านพยากรณ์อากาศคาดการณ์ ฤดูฝนปีนี้น่าจะมีพายุหมุนเขตร้อนพัดเข้ามาเติมน้ำในเขื่อนบ้านเราประมาณ 2 ลูก ...ที่ไหนได้ ปีนี้มีพายุพัดเข้ามาทั้งแบบตรงๆ และถากๆ แต่มีผลกระทบต่อสภาพอากาศบ้านเรามากถึง 11 ลูก 

พัดเข้ามาตรงๆ ถึงไทย 4 ลูก “ซินลากู” เข้ามาทางน่านเมื่อต้นสิงหาคม “โนอึล” เข้ามาทางอำนาจเจริญกลางกันยายน อีกลูกเป็นแค่ดีเปรสชันไม่มีชื่อ เข้ามาทางภาคตะวันออกด้านจังหวัดตราดเมื่อต้นตุลาคม...ลูกสุดท้าย “โมลาเบ” พัดตรงเข้ามาทางอุบลราชธานีตอนปลายเดือนตุลาคม

ส่วนที่เข้ามาแบบถากๆเฉี่ยวๆ สลายตัวเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำในประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงแบบพอทำให้เราได้ชุ่มฉ่ำมีถึง 7 ลูก ไล่มาตั้งแต่ หลิ่นฟา, นังกา, ดีเปรสชัน, โซเดล, โคนี, เอตาล และล่าสุดพายุหว่ามก๋อ ที่เพิ่งสลายตัวกลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำที่ สปป.ลาว

แต่กระนั้น ปีนี้บ้านเรายังหนีไม่พ้นภัยแล้ง เพราะปริมาณน้ำฝนจากฟ้าที่หล่นลงมา ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 30 ปี (2524-2553) อยู่ถึง 6%

...

ยิ่งไปกว่านั้นแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ของไทยในภาคเหนือ ที่มีศักยภาพเก็บกักน้ำได้มากถึง 35% ของเขื่อนขนาดใหญ่ทั้งหมดที่มีในประเทศ กลับอยู่ในสภาพแล้งฝนมากที่สุด...มีฝนตกต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 30 ปี ถึง 16%

ทำให้ปีนี้เขื่อนในภาคเหนือเก็บกักน้ำได้แค่ 50% แต่มีน้ำให้ใช้การได้เพียง 31%

ที่สำคัญเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ สองเขื่อนหลักยักษ์ใหญ่ที่คอยป้อนส่งน้ำมาหล่อเลี้ยงพื้นที่ภาคกลาง เก็บกักน้ำรวมกัน
ได้เพียง 11,482 ล้าน ลบ.ม. หรือแค่ 50% ของความจุทั้งสองเขื่อนรวมกัน

“ต้องยอมรับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปจากภาวะโลกร้อน ทำให้พฤติกรรมของฝนได้เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เดี๋ยวนี้ฝนไม่ได้ตกเหนือเขื่อนเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป จากเดิมฤดูฝนภาคเหนือจะมีฝนตกมาให้เขื่อนเก็บกักน้ำได้ประมาณ 60-70% ของความจุเขื่อน แต่ระยะหลังมานี้ มีฝนตกมาให้เขื่อนเก็บได้แค่ 50% เท่านั้นเอง เพราะทิศทางของฝนได้เปลี่ยนไป มาตกทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกมากกว่าภาคเหนือ แม้ปีนี้จะมีพายุเข้าหลายลูกก็ตาม บ้านเราคงหนีภัยแล้งไม่พ้นแน่ โดยเฉพาะภาคกลาง บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา เพราะน้ำต้นทุนที่มีเก็บไว้ในเขื่อนภูมิพล และสิริกิติ์ คงมีไม่เพียงพอให้ใช้ได้อย่างเต็มที่ ตอนนี้มีน้ำให้ใช้การได้แค่ 30% หรือ 4,832 ล้าน ลบ.ม.เท่านั้นเอง”

ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กล่าวว่า เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ขาดแคลนน้ำช่วงฤดูแล้งที่จะมาถึง สทนช. ได้กำหนดมาตรการรองรับด้านน้ำต้นทุน โดยให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง...เร่งสูบน้ำจากแม่น้ำลำคลองที่ใกล้เคียงไปเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำ ลำน้ำ และแหล่งน้ำธรรมชาติ

พร้อมจัดทำแผนแหล่งน้ำสำรอง ขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำดิบ ทำนบดินชั่วคราวปิดกั้นลำน้ำในพื้นที่เหมาะสม กำจัดผักตบชวาที่จะมาดูดแย่งน้ำ รวมถึงการจัดทำแผนวางท่อน้ำประปาจากการประปาส่วนภูมิภาคสาขาข้างเคียงเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ และวางแผนรับน้ำดิบโดยตรงจากอ่างเก็บน้ำผ่านระบบท่อเพื่อลดความสูญเสีย

...

และปฏิบัติการเติมน้ำให้กับแหล่งน้ำในพื้นที่เกษตรและพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำตามสภาพอากาศที่เหมาะสม

สำหรับเกษตรกรที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขาดแคลนน้ำทำกิน ดร.สมเกียรติ แนะนำว่า ควรจะทำเช่นเดียวกัน ด้วยวิธีง่ายๆ เร่งสูบน้ำจากทางน้ำธรรมชาติขึ้นมาตุนเก็บกักในสระ ในบ่อของตัวเองให้ได้มากที่สุด

“ไม่เพียงแต่สูบจากแม่น้ำลำคลองมาเก็บไว้ล่วงหน้า ใครที่มีบ่อบาดาลก็ควรรีบสูบน้ำขึ้นมาตุนไว้ก่อนเหมือนกัน เพราะตอนนี้ยังพอมีฝนหลงฤดู ในแม่น้ำคลองห้วยต่างๆ ยังมีน้ำอยู่มาก บ่อบาดาลน้ำก็ยังตื้นให้สูบได้ง่าย ฤดูแล้งนี้ถ้าคิดจะทำเกษตรเลี้ยงชีพ สถานการณ์ตอนนี้อย่าได้ชะล่าใจเป็นเด็ดขาด เพราะถ้าหน้าแล้งมาถึงเมื่อไร น้ำในคลองจะแห้งขอด บ่อบาดาลน้ำจะอยู่ลึกมีให้สูบได้น้อย ฉะนั้น ต้องรีบสูบขึ้นมาตุนเก็บไว้เสียแต่ตอนนี้ จะดีกว่าปล่อยให้ไหลทิ้งลงไปทะเล จนไม่มีเหลือให้เราได้สูบมาใช้ประโยชน์”.

ชาติชาย ศิริพัฒน์