เริ่มเห็นแววสัญญาณที่ดีกับผลการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ที่ใช้สารพันธุกรรมของเชื้อ “ชนิด mRNA” มีการฉีดในลิงเข็มที่สอง “ได้ผลดี” สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ระดับสูงและลิงทุกตัวมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีผลข้างเคียงจากวัคซีน...การทดลองวัคซีนนี้ถูกพัฒนาเกิดขึ้นจาก “คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” ในการสนับสนุน สนง.การวิจัยแห่งชาติ และสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนยื่นเอกสารต่อ สนง.คณะกรรมการอาหารและยา และคณะกรรมการจริยธรรม ที่เกี่ยวข้องการขออนุมัติทดสอบในมนุษย์ คาดว่า...ในต้นเดือนสิงหาคมนี้น่าจะเริ่มสั่งการ “ผลิตวัคซีน” ใช้ทดสอบในคน ที่จะเปิดรับอาสาสมัครในเดือนสิงหาคม-กันยายน 2563 เตรียมฉีดเข็มแรกในเดือนตุลาคมต่อไป และถูกแบ่งออก 3 เฟส คือ...เฟสแรก...แบ่งเป็นกลุ่มแรกอายุ 18-60 ปี 75 คน ใช้เวลา 2 เดือน หากได้ผลดีก็จะทดลองในอาสาสมัครอายุ 61-80 ปี 75 คน ต่อด้วยเฟสสอง... ใช้อาสาสมัครราว 500-1,000 คน ในกลางปี 2564 น่าจะทราบผลทดสอบนี้ และ ทดสอบเฟสสาม ในพื้นที่มีการระบาด...ใช้เวลา 9-12 เดือนในการทดลองวันซีนนี้มีความคืบหน้าไปมาก หากมีการทดสอบในมนุษย์ “ประเทศไทย” ถูกขยับติดอันดับต้นของโลก ในความสำเร็จการทดลองวัคซีนนี้นับเป็น “ข่าวดี” ในเรื่องการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ไทยทำขึ้นเองด้วย ความคืบหน้าขั้นตอนการทดลองวัคซีนฝีมือคนไทยนี้ ศ.ดร.สุจินดา มาลัยวิจิตรนนท์ ผอ.ศูนย์วิจัยไพรเมทแห่งชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลมาว่า ประเทศไทยมีการทดลองวัคซีนป้องกันโควิด-19 อยู่หลายชนิด สำหรับโครงการที่คืบหน้ามากที่สุด เริ่มทดลองในสัตว์ที่ศูนย์วิจัยไพรเมทฯ อ.แก่งคอย จ.สระบุรีมีอยู่ 3 ชนิด...คือ “วัคซีนชนิดโปรตีนพืช” เป็นวัคซีนผลิตจากโปรตีนจากพืช หรือใบยาสูบพิเศษ เริ่มทดสอบในลิง ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2563 กำหนดฉีดวัคซีน 2 เข็ม มีระยะห่าง 3 สัปดาห์ต่อเข็ม คาดว่า 2 สัปดาห์ น่าจะได้คำตอบบางอย่างออกมาบ้าง เพราะ “วัคซีนชนิดโปรตีนพืช” มีการกระตุ้นภูมิคุ้มกันดีกว่าชนิดอื่นส่วนวัคซีนตัดต่อสารพันธุกรรมกระตุ้นภูมิคุ้มกัน มี 2 ชนิด คือ...“ดีเอ็นเอวัคซีน” กำลังจะฉีดทดลองเข็มแรกในปลายเดือนกรกฎาคม 2563 จึงยังไม่มีข้อมูลผลการทดสอบใดๆ ส่วนอีกชนิด “วัคซีน mRNA” ที่มีความล้ำหน้าที่สุด เริ่มได้ทดลองใช้ลิง 13 ตัว แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ...“กลุ่มโดสยาต่ำ”...มีปริมาณขนาดยา 5 ไมโครกรัม ใช้กับลิง 5 ตัว “โดสยาสูง”...มีขนาดยา 50 ไมโครกรัม ใช้กับลิง 5 ตัว และยาหลอก...ใช้กับลิง 3 ตัว มีกำหนดฉีดวัคซีนในลิงไว้ 3 ครั้ง ระยะห่างกัน 1 เดือน และผ่านการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ในวันที่ 23 พ.ค.2563 มีการฉีดกระตุ้นเป็นเข็มที่ 2 วันที่ 22 มิ.ย.2563ปรากฏว่า...ในกลุ่มลิงใช้ “โดสยาสูง” มีการกระตุ้นภูมิคุ้มกันระดับสูง มีประสิทธิผลในการป้องกันโรคได้อย่างดีมากเกินคาดการณ์ไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ต้องชะลอฉีดเข็มที่ 3 ออกไป และปรับการทดลองใหม่ ในการสังเกตติดตามเรื่องระดับกระตุ้นภูมิคุ้มกัน จะสามารถอยู่ในร่างกายได้นานเพียงใดถ้าระดับ “ภูมิคุ้มกัน” มีปริมาณลดลงเร็ว ก็จะมีการฉีดเข็ม 3 เพิ่มต่อไปอีก เพราะโครงการนี้มีการขออนุญาตจากคณะกรรมการจริยธรรม ที่กำหนดฉีดวัคซีนทดลองในสัตว์ 3 เข็มมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วส่วนในกลุ่มลิงใช้ “ยาโดสต่ำ” ก็มีการกระตุ้นภูมิคุ้มกันยับยั้งเชื้อไวรัสเช่นกัน แต่ผลยังไม่เป็นที่พอใจ ทำให้มีกำหนดฉีดเข็มที่ 3 ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2563 และสุดท้ายก็คือ “กลุ่มยาหลอก” ไม่พบภูมิคุ้มกันยอมรับว่า...“ใช้โดสยาสูง” มีผลทดสอบดีชัดเจน แต่ยังต้องฉีด 2 เข็ม ในปริมาณยา 100 ไมโครกรัม จึงจะกระตุ้นภูมิคุ้มกันขึ้นได้ เป็นการใช้ยาค่อนข้างสูง ส่วนการทดลอง “โดสยาต่ำ” ผ่านการทดลองไป 2 เข็ม ใช้ยา 10 ไมโครกรัม มีผลดี แต่ยังไม่น่าพอใจ ทำให้ฉีดโดสยาต่ำเข็ม 3 ถ้าเข็มนี้ได้ผลที่ดีก็จะสามารถลดการใช้ยาถึง 7 เท่าคิดง่ายๆ...“ใช้โดสยาสูงกระตุ้นภูมิคุ้มกัน” ก็ย่อมมีผลต่อต้นทุนผลิตสูงตามมา แต่ถ้าการทดสอบใช้โดสยาต่ำ 5 ไมโครกรัม ที่มีผลดีเท่ากัน กลายเป็นว่าเดิมอาจต้องใช้วัคซีน 100 ไมโครกรัมต่อคน สามารถนำจำนวนยานี้ไปแตกแบ่งออกได้เป็นสิบโดส ทำให้ต้องทดสอบใช้โดสยาต่ำดีที่สุด เพื่อผลลัพธ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ได้ดีที่สุดประการต่อมา...เมื่อผลทดลอง “โดสยาสูง” กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี จึงเริ่มมีแผนการทดลองในมนุษย์ต่อไป คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นราวเดือนตุลาคมนี้ เบื้องต้นกำลังรวบรวมข้อมูลผลการทดลองทั้งหมด เพื่อเสนอขออนุญาตกับคณะกรรมการอาหารและยา ในการดำเนินการผลิตวัคซีน 10,000 โดส ทดลองกับคน 5,000 คนในส่วน “การผลิตวัคซีน” ต้องเป็น “โรงงานมาตรฐาน” ได้รับรองมาตรฐาน Good Manufacturing Practice (GMP) แต่เท่าที่ทราบมานี้ “ทีมวิจัยวัคซีน mRNA” มีการพูดคุยโรงงานในประเทศแคนาดา และสหรัฐอเมริกาแล้ว ส่วนประเทศไทย มีโรงงานผลิตวัคซีนไม่กี่แห่ง อาจต้องนำเข้าเทคโนโลยีบางส่วนมาเพิ่มเติมด้วยทว่า...การทดลอง “วัคซีนในมนุษย์” แบ่งเป็น 3 เฟส คือ เฟสแรก...ทดลองคนสุขภาพแข็งแรงดี เฉลี่ยอายุ 18-60 ปี เพื่อดูผลความปลอดภัย ถ้าได้ผลดีก็ให้วัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ก่อนเข้าสู้เฟส 2...ตามจำนวนคนเพิ่มขึ้นในหลักพันคน และเฟส 3...การทดสอบฤทธิ์ป้องกัน ที่ต้องทดลองในพื้นที่ที่มีการระบาดของเชื้อโรค กลายเป็นผลให้ “นักวิจัยไทย” มีความกังวลใจขึ้นทันที เพราะ “ในไทย” ไม่มีการติดเชื้อโควิด-19 ต้องทำความร่วมมือต่างประเทศ เพื่อนำ “วัคซีน” ไปทดสอบในประเทศระบาดกันอยู่ แต่การทดลองกับมนุษย์ได้ก็ต้องขออนุญาตคณะกรรมการจริยธรรม ในการศึกษาทดสอบนี้ด้วย เพื่อเป็นขั้นตอนการป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นฉะนั้นในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา นำการทดลองเฟส 1 และเฟส 2 รวมเข้าด้วยกัน เพราะเชื่อมั่นแล้วว่า “วัคซีน” มีความปลอดภัย และกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี อีกทั้งยังมีห้องความปลอดภัยระดับ 3 (BSL3) จึงเร่งรัดขั้นตอนทดสอบให้สั้นลงกว่าปกติได้ ที่มีคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศ เป็นผู้ควบคุมกำกับการอนุญาตย้อนมา...“ประเทศไทย” เรายังไม่มีห้องความปลอดภัยระดับ 3 และไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ มีผลต่อการทดลองวัคซีนในเฟส 3 ไม่สามารถทำในประเทศได้ แม้ทราบดี “วัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน” แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่า “ป้องกันระดับใด” จนขาดความเชื่อมั่นในประสิทธิผล ทำให้เมื่อฉีดวัคซีนแล้วก็ไม่กล้าเผชิญไวรัสโควิด-19 ตามมาเพราะข้อมูลสามารถยืนยันความปลอดภัยได้ดีคือ การทดสอบพ่นเชื้อโควิด-19 ใส่ลิงที่มีภูมิคุ้มกันแล้วในห้องความปลอดภัยระดับ 3 เพื่อสังเกตอาการลิงต้องไม่ติดเชื้อขึ้น ที่จะทำให้การทดสอบวัคซีนนี้มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น ไม่ใช่ว่า...ทราบวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันแล้วทุกอย่างก็จบเท่านั้นดังนั้น ห้องความปลอดภัยระดับ 3 ถือว่ามีความจำเป็นอย่างมาก ทั้งในเชิงเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 และในอนาคตที่มีโอกาสเกิดของ “โรคอุบัติใหม่” เพราะนักวิจัยค้นพบด้วยการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังของการเกิดโรคระบาดใหญ่ พบว่า ในทุก 10 ปีจะต้องเกิดเชื้อไวรัสของโรคติดต่อขึ้นอย่างน้อย 1 โรค สาเหตุ...“เกิดจากสัตว์ป่า” ผลพวงส่วนหนึ่งก็เกิดจาก “สภาวะโลกร้อน” และ “มนุษย์” ที่เข้าไปทำลายป่า ส่งผลให้ “คนกับสัตว์ป่ามีความใกล้ชิดกัน” โดยเฉพาะสัตว์ป่าบางชนิดก็มีเชื้อโรคอยู่แล้ว แต่ไม่เป็นอันตราย เพราะมีภูมิคุ้มกัน ส่วนมนุษย์ไม่มีเคยเจอกับ “เชื้อโรค” ย่อมทำให้เกิดการติดเชื้อระบาดขึ้นตามมา...เมื่อเป็นเช่นนี้ควรมี “ห้องความปลอดภัย 3” เพื่อเตรียมรับมือกับการเกิดโรคอุบัติใหม่ ยกตัวอย่าง ในอนาคตถ้ามีโรคไวรัสเกิดขึ้น จะย่นเวลาผลิตวัคซีนได้เร็วมาก ด้วยการนำรูปแบบโครงสร้างการผลิตวัคซีนโควิด-19 มาเป็นบทเรียนต้นแบบ เพราะในภูมิภาคใกล้ประเทศไทย...“ประเทศญี่ปุ่น” มีห้องความปลอดภัยระดับ 3 แห่งเดียวตอนนี้ทั่วโลกเร่งผลิต “วัคซีนโควิด-19” มีความคืบหน้า 10-20 ชนิด ในจำนวนนี้ “วัคซีนไทย” ก็ติดอันดับความล้ำหน้าระดับต้นๆของโลกเช่นกัน นับเป็นความภาคภูมิใจของ “นักวิจัยไทย” ที่ไม่ด้อยกว่าประเทศอื่นถ้ายิ่งได้รับการสนับสนุน ทั้งผลงานวิจัยและงบประมาณจัดซื้ออุปกรณ์ เชื่อมั่นได้ว่า...“ประเทศไทย” ต้องมีชื่อเสียงดังก้องโลกเป็นแน่.