โรค ASF ในสุกร ที่ระบาดอย่างหนักในแทบทุกประเทศในภูมิภาคเอเชีย ส่งผลให้ผลผลิตลดลง หลายประเทศต้องประสบปัญหาเนื้อหมูมีไม่เพียงพอต่อการบริโภค ต้องพึ่งพาการนำเข้าส่งผลให้ราคาหมูทั้งภูมิภาคปรับเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...จีนที่โดนโรคนี้เล่นงานเข้าเต็มๆ ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มขยับขึ้นไป กก.ละ 140 กว่าบาท เวียดนาม 110 บาท เมียนมาเกือบ 100 บาท

ขณะที่บ้านเรายังคงสถานะปลอด ASF ราคาหมูถูกที่สุดในภูมิภาคราคาหน้าฟาร์มยังคงยืนอยู่ที่ กก.ละ 78-79 บาท จากการที่เกษตรกรทั้ง 2 แสนรายทั่วประเทศ ให้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ดูแลราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มไม่ให้เกิน 80 บาท เพื่อให้ราคาหมูเขียงไม่เกิน กก.ละ 160 บาท ถือเป็นการดูแลผู้บริโภคไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนซ้ำเติมวิกฤติโควิด

วันนี้ทุกประเทศต้องการ บริโภคเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น โดย เฉพาะเนื้อหมู รวมถึงประเทศไทย ราคาหมูจึงขยับตามกลไกตลาด ซึ่งอาจเกิดจากช่องว่างระหว่างหน้าฟาร์มและหน้าเขียง แต่ถึงอย่างไรราคาก็ไม่ได้สูงไปกว่าประเทศอื่น และปริมาณมีมากเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ ไม่ขาดแคลนเหมือนกับประเทศอื่น

ถือเป็นโชคดีที่วันนี้ภาครัฐเข้าใจสถานการณ์ กรมการค้าภายใน ออกมาชี้แจง ถ้าราคาปรับขึ้นในระยะสั้นๆ จากความต้องการที่สูง ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด เพราะตรงนี้จะช่วยให้ผู้เลี้ยงหมูมีรายได้เพิ่มขึ้น จากในอดีตเกษตรกรได้รับความเดือดร้อนจากราคาที่ตกต่ำ

ที่สำคัญราคาที่ปรับขึ้นเพียงทำให้ผู้เลี้ยงพออยู่ได้ พอต่อลมหายใจให้พวกเขาได้ลืมตาอ้าปากได้บ้าง หลังจากต้องแบกรับภาระขาดทุนสะสมตลอด 3 ปี ไม่ต้องล้มหายตายจาก ไม่เพียงช่วยคนเลี้ยงหมูให้ “ไปต่อ” ได้ แต่ยังเผื่อแผ่ไปถึงผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปลายข้าว รำข้าว มันสำปะหลัง ที่จะได้มีกำลังซื้อที่สูงขึ้น เป็นอีกแรงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในวิกฤตินี้

...

วันนี้ถึงเวลาที่สังคมไทยต้องช่วยเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูและเกษตรกรผู้เพาะปลูกทั้งหมด ต่างมีอาชีพเดียว ไม่สามารถเปลี่ยนอาชีพเป็นอย่างอื่นได้ ในขณะที่ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อหาอาหารรับประทานแทนหมูได้ ทั้งปลา ปู กุ้ง ไก่ ไข่ หรืออาหารตามธรรมชาติที่มีให้เลือก อย่างไม่จำกัด.

สะ-เล-เต