อีกโรคร้ายจากเชื้อราที่ระบาดในฤดูฝน กรมวิชาการเกษตร เตือนเกษตรกรผู้ปลูกมะละกอให้เตรียมรับมือ โรครากเน่าและโคนเน่า มักจะระบาดรุนแรงในช่วง มิ.ย.-ส.ค.

พบมากในระยะต้นกล้าจนถึงระยะต้นติดผล

อาการในระยะต้นกล้าจะเกิดกับส่วนลำต้นบริเวณผิวดิน มีแผลลักษณะฉ่ำน้ำ ยุบเป็นแถบๆ ใบจะเหี่ยว ถ้าอาการรุนแรงบริเวณโคนต้นจะหักพับและตายในที่สุด

ส่วนระยะต้นโต มักแสดงอาการเริ่มแรกพบใบล่างเหลือง ก้านใบลู่ลง และหลุดร่วงได้ง่าย ส่วนใบที่อยู่ด้านบนของต้นมีสีซีด และยอดอ่อนมีขนาดเล็กลง ส่งผลให้ต้นแคระแกร็น ต้นมะละกอจะเหลือใบยอด เป็นกระจุก

โดยบริเวณโคนต้นจะพบแผลเน่าฉ่ำน้ำ มีสีน้ำตาลเยิ้มออกมา ต้นจะหักล้มพับได้ง่าย และตายในที่สุด เมื่อขุดดูจะพบรากแขนง สีน้ำตาลหลุดขาดได้ง่าย ต่อมาโรคลุกลามไปยังรากแก้วทำให้รากเน่าเปื่อย

ดังนั้น ในระยะนี้เกษตรกรควรหมั่นตรวจและกำจัดวัชพืชในแปลงและรอบแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ หากพบต้นมะละกอที่แสดงอาการของ โรค ให้ขุดหรือถอนต้นที่เป็นโรคออกจากแปลงและนำไปเผาทำลายนอกแปลงปลูกทันที เพื่อลดการสะสมของเชื้อราก่อโรค

จากนั้นใส่ปูนขาวหรือโรยยูเรียผสมปูนขาว อัตรา 80 : 800 กิโลกรัมต่อไร่ ลงในหลุมที่ขุดหรือถอนต้นออกไป แล้วให้กลบและรดน้ำให้ดินมีความชื้นทิ้งไว้ 3 สัปดาห์

หากเริ่มพบการระบาดของโรค ให้เกษตรกรราดบริเวณโคนต้นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช เมทาแลกซิล 25% ดับเบิลยูพีอัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% ดับเบิลยูพี อัตรา 30-50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ เมทาแลกซิล + แมนโคเซบ 4% + 64% ดับเบิลยูพี อัตรา 30-40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

สำหรับพื้นที่ที่เคยมีการระบาดของโรคนี้ ควรสลับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียน อีกทั้งควรทำแปลงปลูกให้มีการระบายน้ำที่ดีและไม่มีน้ำขัง.

...

สะ–เล–เต