“ท่องเที่ยวไทยไปไม่เป็น... จากพิษไวรัสอู่ฮั่น” ประโยคนี้สะท้อนความรู้สึกสิ้นหวัง หมดเรี่ยวแรงในยามเศรษฐกิจก็สาละวันเตี้ยลงๆเช่นนี้ หากแต่ทุก “วิกฤติ” ย่อมต้องมี “โอกาส” แต่...ใครบ้าง? ล่ะจะเห็นโอกาสหรือทางออกที่ว่านี้
นับถอยหลัง...อีกไม่กี่วัน “ท่องเที่ยวไทย” จะครบ 60 ปี ในวันที่ 18 มีนาคม ศกนี้
ทว่า...โชคร้ายถูก “ฝุ่นจิ๋ว PM 2.5” เล่นงานก่อนได้เฉลิมฉลอง ไม่นานจากนั้น...ไวรัสสายพันธุ์ใหม่โคโรนา ปอดอักเสบ หรือ “ไวรัสอู่ฮั่น” จากเมืองอู่ฮั่น หูเป่ย ประเทศจีน เสมือนพลันจะฉุดโลกให้หยุดหมุนไปชั่วคราว
ด้วยไวรัสตัวนี้มีอิทธิพลต่อระบบทางเดินหายใจถึงชีวิต ล่าสุด ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์มีผู้ติดเชื้อทั่วโลก 17,500 ราย สังเวยชีวิต 304 ราย และยังไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ว่าจะยุติการแพร่เชื้อวันใด?...

“ประเทศไทย” ซึ่งเคยมีประสบการณ์ควบคุมป้องกัน “ไวรัสซาร์ส” กับ “ไข้หวัดนก (H5N1)” มาแล้ว ยังเอาไม่อยู่...จากการคัดกรองพบผู้ติดเชื้อ 19 ราย กลับบ้านได้ 7 ราย รอดูอาการ 12 ราย
...
ข่าวดีในข่าวร้าย...ทีมแพทย์โรงพยาบาลราชวิถี สามารถนำไวรัสต้านโรคเอดส์ผสมไวรัสไข้หวัดใหญ่ มาใช้กับผู้ติดเชื้อไวรัสอู่ฮั่นขั้นรุนแรง แล้วประสบความสำเร็จ
ผู้ป่วยอาการปรับจากบวกเป็นลบ แข็งแรงขึ้นภายใน 48 ชั่วโมงอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ก็ยังต้องนำผลการรักษาเข้าสู่การวิจัย ร่วมกับสถาบันแพทย์นานาชาติเพื่อยืนยันอีกครั้งหนึ่ง
ฟากฝั่งประเทศจีน นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้ใช้วิธีประกาศห้ามคนจีนเดินทางออกนอกประเทศ สร้างความรับผิดชอบป้องกันการแพร่เชื้อสู่ชาวโลก กับห้ามเอเย่นต์ขายทัวร์ช่วง 3 เดือน

ทำให้เห็นว่า...ลำพังเฉพาะการแพร่เชื้อกระจายกว้างไปยังประเทศต่างๆแล้วนั้น ถือเป็นชะตากรรมที่หฤโหดพออยู่แล้ว แต่กรณีผู้นำห้ามคนจีนสัญจร ก็ยิ่งเพิ่มแรงเขย่าโลกเป็นดาบสองหนักขึ้นไปอีก
เพราะปกติคนจีนเที่ยวนอกบ้านปีละ 166 ล้านคน...จึงเป็นคำตอบสุดท้ายให้ประเทศคู่ค้าท่องเที่ยวกับจีน ยิ่งต้องตระหนักถึงทางตันอย่างช่วยไม่ได้!
รวม “ไทย” ที่มี “ทัวร์จีน” มายั้วเยี้ยปีล่าสุด 11 ล้านคน จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน
เมื่อเป็นเช่นนั้นหลายคนที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงการท่องเที่ยวมานมนานจึงออกอาการสะท้อนให้รู้กันว่า...ท่องเที่ยวไทยออกอาการเดินไม่เป็น เมื่อคาดเดาเอาว่าลูกค้าลอตใหญ่ตลาดนี้ จำต้องหายไปไตรมาสแรกปีนี้ 1.89 ล้านคน เมื่อเคาะรายได้ก็เป็นตัวเลขถึง 5 หมื่นล้านบาท...
โดย “รัฐบาลเชียงกง” ก็ยังไม่รู้เลยว่า จะเข็นวิกฤติท่องเที่ยวที่ซบเซาในครั้งนี้...ไปทิศทางใด?
องค์กรด้านตลาดอย่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ฐานะลูกปู ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก เพราะ พ.ร.บ.งบประมาณปีนี้ขัดลำกล้อง จากกรณีร้อน ส.ส.เสียบบัตรแทนกันในสภา

ผลวิกฤติเที่ยวนี้...ทำเอาเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมคนจีน เช่น กรุงเทพฯ ร้างนักท่องเที่ยวจากจีนชนิดทันตาเห็น ส่วน...เชียงใหม่ เชียงราย ที่เคยบินกันมา หรือนั่งรถมาทางเมืองจิ้งฮง...เชียงตุง...แม่สาย หรือยูนนาน...แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ข้ามฝั่งสู่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย และทางน้ำจากจิ้งฮงล่องลำน้ำโขง สู่ อ.เชียงแสน กันอย่างคึกคักก็ดูเหมือนจะอ่วมอรทัยไม่ต่างกัน
ในยามไวรัสอู่ฮั่นแผลงฤทธิ์ เนื่องจากมิตรภาพไทย-จีนที่เคยราบรื่นกลับจืดจางลง เมื่อคนไทยมองจีนอย่างรังเกียจเกรงแพร่เชื้อ สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหารหลายแห่งที่เคยจูบปาก พากันขึ้นป้ายเซย์โนทัวร์จีน 100% จะจองผ่านเอเย่นต์หรือไกด์ไม่รับทั้งนั้น
...
แล้วก็มาถึง “พัทยา” ...เมืองท่องเที่ยวแดนสวรรค์นักท่องเที่ยวจีน หากย้อนไปดูตัวเลขช่วงปีก่อน “ทัวร์จีน” เข้ามา 2.71 ล้านคน 15% จากทัวริสต์รวม 18 ล้านคน วันนี้...ก็ร้างกระแสจีนอย่างไม่เคยปรากฏ
แหล่งท่องเที่ยวเอกชนหลายแห่งต้องปิดตัวลงชั่วคราว ปล่อยพนักงานไปหางานสำรองทำกันเอง เหตุการณ์ร้ายคลี่คลายเมื่อไร...ค่อยกลับมา!

สมชัย รัตนโอภาส ประธานเครือโรงแรมเอ.วัน พัทยา ยอมรับ เหตุการณ์ครั้งนี้รุนแรงกับเมืองท่องเที่ยวชั้นนำอย่างพัทยา แต่เอ.วัน กระทบบ้างเล็กน้อยเพราะลูกค้าจีนมีเพียง 20%
“มีกระเทือนบ้างกับทัวร์เกาหลีที่ชะลอตัว ด้วยรู้ว่าพัทยาเป็นจุดเสี่ยง ส่วนอินเดียคุ้นเคยกับโรคระบาดในประเทศตน รัสเซียทรงตัว แต่ต้องไม่กระตุ้นให้ตื่นตระหนกไปตามเหตุการณ์”
สมชัย บอกอีกว่า รัฐควรให้ความสำคัญกับตลาดไทยเที่ยวไทย เพราะคนไทยไม่เพียงระงับทัวร์นอก ยังชะลอถึงการเที่ยวในประเทศเพราะกลัวติดเชื้อ กลุ่มที่รัฐน่าส่งเสริมสนับสนุน คือตลาด “MICE” ให้ภาครัฐและเอกชนมาจัดประชุมสัมมนาในเมืองพัทยา ซึ่งมีความพร้อม
...
กัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา มองว่า เห็นด้วยที่จีนตัดสินใจปิดประเทศ เพราะถ้าไม่ใช้วิธีนี้ปัญหาจะลุกลามบานปลายไปทั้งโลก แล้วจะยิ่งยากต่อการควบคุมป้องกันการระบาด
“ผมมองว่า...วิกฤติครั้งนี้ถือเป็นโอกาส เพราะเราเตรียมบริหารความเสี่ยงไว้ล่วงหน้าก่อนแล้วเป็นขั้นเป็นตอน คือหนึ่งต้องรู้จักบริหารจัดการพนักงานทุกคน ให้ปลอดการติดเชื้อ 14 วันที่ผ่านมา เป็นข้อยืนยันได้ เพราะไม่มีใครแสดงอาการให้เห็น”
กัมพล ย้ำว่า ประการสำคัญต้องรณรงค์เรื่องความสะอาด ทัวร์จีนที่เหลือจำนวนน้อยเมื่อมาเที่ยว เราจะมีเจลให้พวกเขาใช้ล้างมือทำความสะอาดทุกครั้ง ที่นั่งดูโชว์ทุกรอบจะมีการเช็ดถูให้ปลอดภัย

“สุดท้าย...ต้องหมั่นลงทุนด้วยโปรดักส์ที่มี และขยายเพิ่มแบบประหยัดเงิน รอเมื่อเหตุการณ์สงบในช่วง 3 เดือน หรือนานแค่ไหนเราก็จะมีโปรดักส์ตัวใหม่พร้อมขายทันที”
ย้ายโฉบไปทางภาคใต้กันบ้าง...“เกาะสมุย” ทัวร์จีนที่เคยคึกคักก็กลับเงียบหงอย เนื่องจากเครื่องบินเช่าเหมาลำจากเฉินตูมาสุราษฎร์ธานี สัปดาห์ละ 4 เที่ยว ต้องยกเลิกระหว่างประสบชะตากรรมไวรัสอู่ฮั่น
...
ภูเก็ต พังงา กระบี่...ก็ตกที่นั่งอีหรอบเดียวกัน ต้องล้มเหลวจากตลาดต้นทางทัวร์จีน
วิกฤติภาคการท่องเที่ยวเป็นเช่นนี้ สาวกไซเบอร์จึงฟันธงลงความเห็นด้วยว่า สังคมออนไลน์มีส่วนส่งแรงกระแทกท่องเที่ยวย่อยยับยิ่งกว่าซาร์สและหวัดนก เมื่อแนวคิดคนถูกแบ่งเป็น 2 ขั้วในความเห็นต่าง
ฝ่ายหนึ่ง...อยากให้รัฐปิดประตูชัตดาวน์ทัวร์จีน รักษาบ้านเมืองดีกว่าขายท่องเที่ยวแล้วเสียหาย และยกเลิก Visa on Arrival ที่ไม่มีประเทศไหนยืนกระต่ายขาเดียวมานานขนาดนี้
อีกฝ่าย...เรียกร้องให้รัฐหามาตรการเร่งด่วน ดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาทันทีเมื่อปัญหายุติ
“คนกลุ่มหนึ่งเห็นด้วยกับการส่งกำลังใจให้คนจีนสู้ๆ โดยทำคลิปผ่านช่องทางสื่อต่างๆ ทว่า...อีกฝ่ายเหมือนหยั่งรู้ความรู้สึกพี่น้องจีน มองคนไทยอยากได้เงินจากพวกเขามากกว่า”

ยิ่งกว่านั้น...ยังซ้ำเติมกันด้วย “ข่าวปลอม-ข่าวลวง” ราวกับ “ข่าวตลกโปกฮา” ไปซะนี่ ไทยแลนด์แดนสวรรค์...การท่องเที่ยวไทยกำลังย่ำแย่ วิกฤติหนักครั้งนี้จะผ่านไปได้อย่างไร คาดเดาไม่ได้จริงๆ.