เรื่องราวของ “วลีเด็ด” ที่ว่า “คนบ้า...ฆ่าคนตายไม่ผิด” ถูกเล่าขานพูดต่อกันมาแต่อดีตถึงปัจจุบัน...กลายเป็นความเข้าใจผิด ตีความหมายของการกระทำผิดคลาดเคลื่อน จนมีคดีอาญาหลายเรื่อง...ผู้ทำผิดอ้างว่า...“เป็นคนบ้า” หรือ “บุคคลวิกลจริต” เพราะหวังเป็นเหตุบรรเทา... ไม่ต้องรับโทษมากมายในโลกความจริง...การกระทำความผิดของ “คนบ้า คนจิตบกพร่อง โรคจิต จิตฟั่นเฟือน” กฎหมายถือว่า...“เป็นความผิด” และ “ต้องรับโทษทางอาญา” ที่กฎหมายกำหนดไว้ตามฐานความผิดที่ก่อขึ้น ไม่มีใคร “หนีกรรม” นี้ได้ แต่อาจมีข้อยกเว้นบางประการ...เพราะผู้กระทำผิดกลายเป็น “คนบ้าถาวร” นั่นเองหนำซ้ำ...“ทางคดีแพ่ง” อาจเรียกร้องค่าเสียหายจากบิดามารดา หรือผู้อนุบาลของผู้กระทำความผิดได้ด้วยซ้ำ เพราะเป็นบุคคลต้องดูแลเอาใจใส่ “บุคคลวิกลจริต” ไม่ให้ออกไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นการกระทำความผิดของ “บุคคลวิกลจริต” ต้องรับโทษ หรือมีข้อยกเว้นในเรื่องใดบ้างนั้น คมเพชญ จันปุ่ม หรือ “ทนายอ๊อด” ทนายความอิสระ บอกว่า ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้นิยาม “คนบ้า” ...คือ 1.บุคคลวิกลจริต 2.บุคคลไร้ความสามารถ และ 3.บุคคลเสมือนไร้ความสามารถ ที่มีความแตกต่างแต่ละประเภทประเภทบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ...ต้องเป็นบุคคลที่ “ศาล” สั่งให้เป็น “บุคคลเสมือนไร้ความสามารถ” อาทิ คนมีกายพิการ อาจเป็นมาโดยกำเนิด หรือเกิดขึ้นภายหลัง กลุ่มคนจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ แต่ยังไม่ถึงขั้นวิกลจริต ที่รวมถึงคนมีประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ ใช้จ่ายเงินเกินกว่าฐานะอยู่ประจำทำให้ทรัพย์สมบัติร่อยหรอลงไปทุกวัน ยังมีกลุ่มคนติดสุรา ติดยาเสพติด ไม่สามารถจัดทำการงานโดยตนเองได้ หรือจัดกิจการไปในทางอาจเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองและครอบครัว ที่ต้องให้จัดอยู่ในความดูแลของ “ผู้พิทักษ์” ตาม ม.32 ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประเภทบุคคลวิกลจริต...คือ บุคคลมีความผิดปกติด้านจิตใจอย่างรุนแรง จนไม่สามารถอยู่ในโลกของความเป็นจริงได้ หรือมีประพฤติกิริยาผิดปกติ ไม่สามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดี เพราะสติวิปลาส ที่เรียกได้ว่า “คนบ้า” รวมถึงบุคคลขาดความรำลึก หรือขาดความรู้สึกตัวด้วย เช่น เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ หรือสื่อสารกับคนอื่นไม่ได้ที่ต้องมีรายงานความเห็นแพทย์ ระบุว่ามีความผิดปกติทางด้านร่างกาย สมอง หรือจิตใจ ไม่สามารถตัดสินใจ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเอง หรือประกอบกิจการงานด้วยตนเองได้...ไม่สามารถทำนิติกรรมต่างๆได้ สมควรให้มีผู้อนุบาลหรือจำเป็นต้องมีผู้ดูแลใกล้ชิดแพทย์จากนั้น “พ่อแม่ ผู้สืบสันดาน” ต้องร้องขอต่อ “ศาล” ให้สั่งบุคคลนั้นเป็น “คนไร้ความสามารถ” และ “ศาล” ก็จะจัดให้มีการแต่งตั้ง “ผู้อนุบาล” เป็นผู้ดูแลคนไร้ความสามารถ และเป็นผู้ทำการใดๆแทน เช่น นิติกรรม หรือข้อตกลงต่างๆ ตาม ม.28 ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นถึงนิยามที่แยกกันไว้ของ “บุคคลเสมือนไร้ความสามารถ” และ “บุคคลวิกลจริต” อย่างชัดเจน ในทางกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์...ในทางกฎหมายอาญา...มองว่า “ความเป็นคนบ้า” อาจต้องใช้นิยาม “บุคคลวิกลจริต” มีอาการหนักถึงขนาดไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี พูดจาไม่รู้เรื่อง ไม่มีสติว่าตนได้พูด หรือทำอะไรลงไปแล้ว...ถึงขนาดขาดความรำลึก ขาดความรู้สึก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ใช้โดยอนุโลม...เมื่อบุคคลทั่วไปหรือบุคคลวิกลจริตกระทำความผิดเกิดขึ้น ในการดำเนินคดีอาญาต้องผ่านขั้นตอนจากพนักงานสอบสวน หรือตำรวจ ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการ ดำเนินการฟ้องคดีและศาลต่ออีก ในขั้นตอนนี้หากพบว่าผู้กระทำความผิดมีความผิดปกติทางจิตและไม่อยู่ในสภาพที่จะต่อสู้คดีได้กฎหมายกำหนดให้ต้องได้รับการบำบัดโดยจิตแพทย์เสียก่อน จนกว่าจะต่อสู้คดีได้ จึงจะดำเนินการต่อไป ตาม ป.วิ.อาญา ม.14 ระบุว่า...ถ้ามีเหตุควรเชื่อว่าผู้ต้องหา หรือจำเลย เป็นผู้วิกลจริต และไม่สามารถต่อสู้คดีได้ให้ส่งให้แพทย์ตรวจ ให้งดการดำเนินคดีไว้ จนกว่าผู้นั้นหายวิกลจริต หรือสามารถจะต่อสู้คดีได้ และให้มีอำนาจส่งตัวผู้นั้นไปยังโรงพยาบาล หรือส่งให้ผู้ดูแลนั่นหมายความว่า...หากตำรวจ อัยการ หรือศาล เห็นว่าผู้ถูกดำเนินคดี มีอาการทางจิต ก็มีอำนาจส่งให้แพทย์ตรวจ หากแพทย์วินิจฉัยว่าผู้ต้องหา หรือจำเลยสู้คดีไม่ได้ ศาลก็มีอำนาจสั่งงดการพิจารณาคดี และส่งตัวไปรักษาได้ ในขณะที่รักษาอาการทางจิตอยู่ ต้องให้ประเมินความสามารถในการต่อสู้คดีซ้ำอีกถ้าสามารถต่อสู้คดีได้แล้ว ก็นำตัวกลับเข้าสู่กระบวนการพิจารณา และลงโทษตามกฎหมาย เพราะการลงโทษผู้กระทำความผิดในช่วงระหว่างที่เขาไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี ไม่สามารถให้การใดได้ หรือหาพยานหลักฐานมาต่อสู้คดีไม่ได้ อาจไม่เป็นธรรมต่อผู้ต้องถูกลงโทษ จึงต้องเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาให้หายก่อนแสดงให้เห็นว่าแนวทางปฏิบัติกฎหมายอาญา...ไม่มีใครสามารถชี้ชัดได้เลยว่า...บุคคลใดคือคนปกติ หรือบุคคลใดคือคนวิกลจริต...ทำให้ต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้วินิจฉัยว่า...ผู้กระทำความผิดอาญา ขณะกระทำความผิดนั้นมีอาการป่วยทางจิตหรือไม่ ซึ่งศาลรับฟังหรือไม่ก็ได้ เพราะคำเบิกความของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนั้น ไม่มีบทบัญญัติใดที่กำหนดให้ศาลต้องรับฟังเป็นหลักตามที่มักอ้างว่า...ตัวเองเป็น “คนบ้า”...หรือมีใบรับรองว่า...เคยรักษาด้วยอาการป่วยทางจิตเวช ก็ไม่เป็นผลทางกฎหมาย เพราะต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้วินิจฉัย และศาลมีความเห็นด้วยแต่เมื่อผู้กระทำผิดพิสูจน์ได้ว่า ขณะกระทำนั้น...ได้กระทำไปด้วยขาดความรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นผู้วินิจฉัยว่า ผู้กระทำผิดไม่มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ ที่เรียกว่า “บ้าถาวร” อาจไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น ตาม ป.อ.ม.65 วรรคหนึ่งศาลอาจสั่งให้ไปคุมตัวไว้ในสถานพยาบาล เพราะหากปล่อยตัวไป อาจไม่ปลอดภัยต่อสังคม เพื่อทำการรักษาให้หายเป็นปกติ หรืออาการป่วยทุเลาลง และถ้าโรงพยาบาลจะปล่อยตัวได้เลยหรือไม่ จะต้องรายงานให้ได้รับอนุมัติให้ปล่อยตัวก่อนด้วย...เช่น กรณี...ที่มักกระทำความผิด และกล่าวอ้างถึง...เอกสารเป็นโรคประสาทเคยไปรักษาตัวที่ รพ.ศรีธัญญา ในชั้นพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยว่าพยายามฆ่า จำเลยให้การปฏิเสธ มีความเข้าใจคำถาม และตอบคำถามได้เหมือนคนปกติ ทำให้ฟังไม่ได้ว่าขณะกระทำความผิด มีอาการทางจิตประสาท ไม่รู้สึกตัวและไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้...แบบนี้ไม่เข้าคนวิกลจริต...ตาม ป.อ.ม.65 วรรคหนึ่งทว่า...ในระหว่างทำความผิด อาจรับรู้ผิดชอบบ้าง หรือสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ที่เรียกกันว่า “คุ้มดี...คุ้มร้าย” บุคคลวิกลจริตนั้นก็ต้องรับโทษตามความผิด แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้ ตาม ป.อ.ม.65 วรรคสอง...แต่ไม่ใช่ว่า...“ไม่ผิด” หรือ “ต้องรับโทษ”...เพียงแต่รับโทษน้อยลงเท่านั้น ตาม ป.อ.ม.65 นี้ ถูกนำมาใช้ปฏิเสธ...ความผิดทางอาญาที่มีการกล่าวอ้าง “เป็นคนบ้า” เพียงแค่หวังอันเป็นเหตุบรรเทาโทษ...ในการรับโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ความผิดนี้...คือความผิดในทางแพ่งเกิดจากผลของการกระทำความผิดอาญาโดยตรง ในทางละเมิด...ที่เกิดจาก “บุคคลวิกลจริต” กระทำความผิด...ให้กับผู้เสียหาย สามารถเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งจากบิดามารดา หรือผู้อนุบาลอีกทางหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.429...บุคคลไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์ หรือวิกลจริต ยังต้องรับผิดที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลนั้นย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้นอยากเตือนๆกันไว้...แม้จะเป็น...คนดี หรือคนบ้า เมื่อกระทำความผิดต่อบุคคลอื่นขึ้น...ย่อมต้องได้รับผลกรรมในการกระทำนั้น...“ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” ที่ไม่มีใครหนีสิ่งนี้ไปได้แน่นอน.