ศรีวราห์-ลุยถกสำนวนป่วนกรุง

“บิ๊กแป๊ะ” ควงทีมสืบสวนระเบิดป่วนกรุงลงใต้ กำชับตำรวจในพื้นที่ตรวจตราเข้มงวดสถานที่สำคัญ ตั้งจุดตรวจความมั่นคงป้องกันเหตุ สังเกตคาร์บอมบ์ จยย.บอมบ์ที่คนร้ายมักนำมาจอดในสถานที่ราชการ รื้อการข่าวสั่งเฝ้าระวังและออกหาข่าวเชิงลึก ประสานข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด พร้อมเข้มงวดตรวจสอบคนเข้าออกราชอาณาจักรตามแนวชายแดน สั่ง “บิ๊กแหมว” ผบช.ภ.9 และ ผบช.สตม.นำภาพผู้ต้องหาระเบิดป่วนเมืองขึ้นป้ายประกาศให้ชาวบ้านเห็นเด่นชัด เพื่อแจ้งเบาะแสหากพบเห็น ด้าน “ศรีวราห์” เรียกประชุมชุดพนักงานสอบสวน สรุปมีระเบิดเพลิง 10 ลูก ระเบิดแสวงเครื่อง 9 ลูก ออกหมายจับ 9 หมาย ผู้ต้องหา 6 คน บางคนมีมากกว่า 1 หมาย มั่นใจส่งฟ้องทันผัดฟ้อง 12 ผัด 84 วัน ขณะที่รอง ผบช.สพฐ.เผย เร่งตรวจหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จากวัตถุพยาน ยอมรับช้าหน่อย เพราะแค่รถคันเดียวต้องเก็บตัวอย่างกว่า 100 ตัวอย่างมาตรวจสอบ

กรณีระเบิดป่วนเมืองหลายจุด เริ่มตั้งแต่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ร้านขายเสื้อผ้าย่านประตูน้ำ ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ และหน้าสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม มีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 4 คน หน่วยอีโอดีระบุระเบิดที่ใช้เป็นระเบิดแสวงเครื่องแบบตั้งเวลา ระยะทำการประมาณ 10-15 เมตร เบื้องต้นชุดสืบสวนจับกุมผู้ต้องหา 2 คนได้ขณะนั่งรถทัวร์มุ่งหน้า จ.สงขลา แต่ถูกตำรวจดักจับได้ก่อนในพื้นที่ จ.ชุมพร ระบุผู้ต้องสงสัย 2 คนเป็นคนเอาระเบิดไปวางที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกอบด้วยนายลูไอ แซแง อายุ 22 ปี และนายวิลดัน มาหะ อายุ 27 ปี จากการสืบสวนขยายผลชุดสืบสวนสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้รวม 9 คน รวมทั้งนายอาแบ หรือนายมูฮัมมัด อิลฮัม หรือแบลี สะอิ อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาคนสำคัญ คนเช่าห้องในอพาร์ตเมนต์ไม่มีชื่อภายในซอยรามคำแหง 53 เป็นที่พักและประกอบระเบิดแสวงเครื่องและระเบิดเพลิง นำเอาวัตถุระเบิดแจกจ่ายให้มือระเบิดนำไปวางตามจุดต่างๆรวม 18 จุด ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ล่าสุดเจ้าหน้าที่คุมตัวนายลูไอและนายวิลดันไปฝากขังศาลอาญารัชดา ส่งเข้าเรือนจำชั่วคราว ทุ่งสองห้องไปแล้วนั้น

...

ความคืบหน้าจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 16 ส.ค. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.เรียกประชุมพนักงานสอบสวนคดีระเบิดในพื้นที่ กทม. พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า การเรียกประชุมครั้งนี้ เป็นการเรียกตรวจสำนวนตามที่ ตร.มีคำสั่งที่ 562/2561 ลงวันที่ 18 ก.ย.2561 ตามที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องความมั่นคง ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า จะมีการโอนสำนวนของคดีนี้ไปยัง บก.ป.นั้น ตนยังไม่เห็นคำสั่ง ครั้งนี้ที่เรียกประชุมตนอาศัยอำนาจตามคำสั่ง ตร.ที่มีคำสั่งมาตั้งแต่ปี 2561 ดังนั้น จะโอนคดีไปยังหน่วยไหนตนต้องดูแลเหมือนเดิม ไม่ว่าใครสอบสวน นอกเสียจาก ผบ.ตร.จะดูแลเอง หรือยกเลิกคำสั่ง ดังนั้น ไม่ว่าหน่วยไหนจะสอบสวนไม่ใช่ประเด็น เพราะตนยังดูแลอยู่

“ส่วนสำนวนการสอบสวนจะใช้เวลาอีกกี่วันถึงสามารถส่งให้อัยการได้ ประเด็นนี้ยังตอบยาก เพราะยังต้องรอผลการตรวจพิสูจน์ด้านนิติวิทยาศาสตร์ ยืนยันว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ผู้ก่อเหตุใช้ระเบิดแสวงเครื่องและระเบิดเพลิงแสวงเครื่อง แบ่งเป็นระเบิดเพลิงแสวงเครื่อง 10 ลูก และระเบิดแสวงเครื่อง 9 ลูก สรุปได้ว่าถึงตรงนี้มีหมายจับผู้ต้องหาของ สน.ปทุมวัน 2 หมาย สน.พญาไท 5 หมาย และ สน.ทุ่งสองห้อง 2 หมาย ผู้ต้องหา 6 คน เนื่องจากบางคนถูกออกหมายจับมากกว่า 1 หมาย ทั้ง 6 คน พนักงานสอบสวนสามารถยืนยันหมายเลขประชาชน 13 หลักได้ทั้งหมด สามารถยืนยันตัวบุคคลได้ ผู้ที่ถูกออกหมายจับมีประวัติเคยก่อเหตุในพื้นที่อื่นๆมาก่อน” รอง ผบ.ตร.กล่าว

พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของตนจะรับผิดชอบดูแลเรื่องหลักกฎหมาย ส่วนด้านสืบสวนมี ผบ.ตร. และทีมงานเป็นผู้ดูแล ตนจะดูว่าเมื่อสืบสวนมาแล้ว นำมาปฏิบัติด้านกฎหมาย ด้าน ป.วิ.อาญาครบถ้วนหรือไม่ หากไม่ครบถ้วนต้องดำเนินการให้ครบ จากนี้ต้องพิจารณาต่อว่า จะดำเนินการอย่างไร หลักฐานไปถึงไหน อย่างไร เพื่อทำให้สำนวนแน่นหนาที่สุด ขาดตกบกพร่องตรงไหนต้องดำเนินการให้แน่นหนาขึ้น ยืนยันว่าหน่วยที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้พยายามดำเนินการให้คดีคืบหน้า เพื่อให้บ้านเมืองสงบปลอดภัย

“หากจะให้วิเคราะห์ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้มาจากสาเหตุอะไรคงตอบไม่ได้ เพราะมีหน้าที่ดูสำนวน การวิเคราะห์นำไปฟ้องศาลไม่ได้ แต่จากหลักฐานที่มีคาดว่าน่าจะสาวไปถึงผู้บงการเบื้องหลักได้ ต้องรออีกสักหน่อย เพราะผลการตรวจพิสูจน์ต่างๆยังไม่เสร็จ ยังมีขั้นตอนอีกหลายขั้น การดำเนินการด้านกฎหมายเราดำเนินการตามกฎหมายปกติ กรอบระยะเวลาฝากขังผู้ต้องหาปกติ หากสำนวนเสร็จไม่ทันปล่อยตัวไปก่อนได้ แต่เชื่อว่าสำนวนส่งฟ้องทันฝากขัง 84 วัน การตรวจพิสูจน์ของ พฐ.น่าจะไม่เกิน 2 เดือน ยืนยันทุกหน่วยเดินหน้าเต็มที่” พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าว

ด้าน พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข รองผบช.สพฐ.กล่าวว่า เนื่องจากคดีนี้มีของกลางที่ตรวจยึดได้เป็นจำนวนมาก ต้องใช้เวลาตรวจพิสูจน์ แค่รถยนต์ที่ต้องนำมาตรวจพิสูจน์มีถึง 17 คัน ต้องเก็บรวบรวมพยานหลักฐานทุกอย่าง เพราะรถยนต์ 1 คัน ต้องเก็บตัวอย่างเกือบ 100 ตัวอย่างมาตรวจพิสูจน์ เพื่อสามารถยืนยันตัวผู้กระทำความผิดให้ได้ กระบวนการตรวจพิสูจน์ต้องดำเนินการอีกสักระยะ อีกทั้งยังไม่รวมถึงหลักฐานอื่นๆอีกที่เก็บได้ ส่วนหลักฐานที่เก็บได้จะเชื่อมโยงถึงใครบ้าง ประเด็นนี้คงตอบไม่ได้ เพราะเป็นหลักฐานในสำนวน

ต่อมาเวลา 12.00 น. พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร.เผยภารกิจของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ พร้อมคณะประกอบด้วย พล.ต.ท.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ที่ปรึกษา (สบ 8) ตร. พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบช.ก. และพล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบช.ภ.9 เดินทางไปตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญข้าราชการตำรวจและร่วมรับฟังสถานการณ์ด้านความมั่นคง พร้อมมอบนโยบายการป้องกันปราบปรามที่ สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สำหรับการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม เพื่อดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้ประชาชน นักท่องเที่ยว และนักลงทุน เพิ่มความเข้มการตรวจตราสถานที่สำคัญของราชการ เอกชน และสถานที่เชิงสัญลักษณ์ ระบบขนส่งมวลชน สถานีขนส่ง ท่าอากาศยาน ห้างสรรพสินค้า สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร และสถานบริการที่มีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการจำนวนมาก

...

“สำรวจจุดเสี่ยง จุดล่อแหลม ในพื้นที่รับผิดชอบและกำหนดจุดเฝ้าระวัง ประสานแนะนำเจ้าของพื้นที่ติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อป้องกันเหตุ รวมถึงตรวจสอบกล้องวงจรปิดในพื้นที่ให้สามารถเชื่อมโยงทางยุทธวิธีใช้งานได้ตลอดเวลา ตลอดจนเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด ออกสืบสวนหาข่าวบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เข้ามาอาศัยในพื้นที่รับผิดชอบ ตรวจสอบบุคคลต้องสงสัยรวมถึงการตรวจสอบร้านจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ที่สามารถนำมาก่อเหตุได้ ให้ตั้งด่านจุดตรวจความมั่นคงในเส้นทางต่างๆ ที่อาจถูกสร้างสถานการณ์หรือก่อเหตุร้ายลักษณะต่างๆ เน้นตรวจค้นบุคคลและยานพาหนะ เมื่อพบการกระทำความผิดให้ดำเนินการตามกฎหมายทุกกรณี อีกทั้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกดดันผู้ก่อเหตุความไม่สงบ ตลอดจนเร่งรัด ติดตาม จับกุมตามหมายจับเก่า และขยายผลไปยังกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลัง ที่สนับสนุนสั่งการให้ก่อเหตุ ตลอดจนกำชับ ให้ติดตามสถานการณ์ด้านการข่าวเชิงลึก และประสานงานกับหน่วยข่าวในพื้นที่ เพื่อประเมินสถานการณ์ฝ่ายตรงข้ามเป็นระยะ” รองโฆษก ตร.กล่าว

พ.ต.อ.กฤษณะกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเข้มและมีมาตรการระวังป้องกันการโจมตีที่ตั้งหน่วย ตลอดจนด่านตรวจคนเข้าเมืองตามแนวชายแดน ให้เพิ่มความเข้มงวดการตรวจสอบบุคคลเข้าออกราชอาณาจักร วัตถุต้องสงสัย ยานพาหนะ ให้มีมาตรการป้องกันรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่นำมาประกอบระเบิดเข้ามาจอดในบริเวณที่ตั้งหน่วย หรือบริเวณด่านตรวจคนเข้าเมือง พร้อมบูรณาการประสานงานร่วมกับตำรวจภูธรในพื้นที่ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทหาร ฝ่ายปกครอง และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง กำหนดมาตรการร่วมกันเพื่อระวังป้องกันเหตุ ตลอดจนการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นสามารถปฏิบัติได้อย่างเป็นขั้นตอนทันที และให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความระมัดระวังการเดินทางในพื้นที่ ไม่ใช้เส้นทางและเวลาเดิมซ้ำซาก

...

รอง โฆษก ตร. กล่าวต่อว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ยังมีข้อสั่งการให้ทุกหน่วยประสานงานสนับสนุนข้อมูลเพื่อเป็นพยานหลักฐานประกอบคดี และเฝ้าระวังพื้นที่เพื่อไม่มีช่องว่างหรือเปิดโอกาสให้ก่อเหตุ อีกทั้งได้รับทราบสถานการณ์ต่างๆในพื้นที่ภาคใต้ รวมทั้งคดีระเบิดต่างๆที่เกิดขึ้น และสั่งการไปยัง บช.ภ.9 และ สตม. ให้นำภาพผู้ต้องหาคดีระเบิดขึ้นป้ายประกาศ เพื่อให้ประชาชนหรือบุคคลใดผู้พบเห็นหรือมีเบาะแส สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ได้ และกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งรัดการสืบสวนติดตามตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่พี่น้องประชาชน โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายยึดความปลอดภัยของตนเองและลูกน้องเป็นหลัก และจะกระทำการสิ่งใดให้ใช้หลักยุทธวิธี อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายเป็นสำคัญ พร้อมให้ประสานงานและบูรณาการกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้พี่น้องประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา หากพบสิ่งใดที่ไม่ชอบมาพากล หรือบุคคลนั้นมีพฤติกรรมน่าสงสัย สามารถแจ้งข้อมูลมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตลอดเวลา และยังเน้นย้ำให้ บช.ภ.9 และ สตม. รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายคัดกรองบุคคลที่ผ่านเข้าออกโดยละเอียด ใช้เครื่องมือที่ ตร.แจกจ่ายไปแล้ว