มติ ก.ต.ตั้ง “ไสลเกษ วัฒนพันธุ์” รองประธานศาลฎีกาอาวุโสอันดับ 1 เป็นประธานศาลฎีกาคนที่ 45 แทน “ชีพ จุลมนต์” ประธานศาลฎีกาคนปัจจุบันที่เกษียณอายุราชการ รวมทั้งตั้งรองประธานศาลฎีกา 4 คน และตำแหน่งบริหารในศาลยุติธรรมอีกหลายตำแหน่ง นอกจากนี้ยังเปิดศาลใหม่ 6 ศาล ยกระดับจากศาลจังหวัดมีนบุรี ศาลจังหวัดพระโขนง และศาล จังหวัดตลิ่งชัน ขึ้นเป็นศาลแพ่งและศาลอาญามีนบุรี ศาลแพ่งและศาลอาญาพระโขนง ศาลแพ่งและศาล อาญาตลิ่งชัน ทั้งหมดตั้งอยู่ที่เดิม ยกระดับจากผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเป็นอธิบดีผู้พิพากษาเป็นหัวหน้า
ที่ศาลฎีกา เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 31 ก.ค. นายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา เรียกประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม หรือ ก.ต. พิจารณาวาระแต่งตั้งประธานศาลฎีกาคนที่ 45 แทนที่ตัวเองที่จะพ้นตำแหน่งเนื่องจากอายุครบ 65 ปี ทั้งนี้ ก.ต.พิจารณาจากวาระหรือโผ นำหลักคุณวุฒิ ความอาวุโส และอื่นๆมาประกอบ มีมติเอกฉันท์แต่งตั้งนายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ รองประธานศาลฎีกาอาวุโสลำดับ 1 ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกาคนที่ 45 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป
สำหรับประวัติโดยย่อของนายไสลเกษ เกิดเมื่อวันที่ 3 ธ.ค.2497 จบนิติศาสตรบัณฑิตมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ เนติบัณฑิตไทย และศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ระหว่างปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้พิพากษาเคยดำรงตำแหน่งที่สำคัญ อาทิ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดระนอง ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดภูเก็ต ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 8 ประธานแผนกคดีภาษีอากรในศาลฎีกา และรองประธาน ศาลฎีกา ทำงานด้านบริหารศาลมาอย่างช่ำชอง

...
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ระหว่างปฏิบัติหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดี นายไสลเกษเคยรับแต่งตั้งให้เป็นองค์คณะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ร่วมพิจารณาคดีทุจริตโครงการระบายข้าวรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) องค์คณะพิจารณาอุทธรณ์คดีสลายม็อบพันธมิตร
นอกจากการพิจารณาแต่งตั้งประธานศาลฎีกาคนที่ 45 แล้ว ที่ประชุม ก.ต.ยังมีมติแต่งตั้งรองประธานศาลฎีกา 4 คน ประกอบด้วย นางเมทินี ชโลธร ประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา นายประทีป ดุลพินิจธรรมา ประธานแผนกคดีภาษีอากรในฎีกา นายนพพร โพธิรังสิยากร ประธานแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศในศาลฎีกา นายอนันต์ วงษ์ประภารัตน์ ประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา ส่วนนายวิชัย เอื้ออังคณากุล รองประธานศาลฎีกา ให้ไปดำรงตำแหน่งประธานศาลอุทธรณ์
ส่วนนายประมวญ รักศิลธรรม ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ดำรงตำแหน่งประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลฎีกา น.ส.ปิยกุล บุญเพิ่ม ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 1 ดำรงตำแหน่งประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา นายอธิป จิตต์สำเริง ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ดำรงตำแหน่งประธานแผนกคดีภาษีอากรในศาลฎีกา น.ส.วาสนา หงส์เจริญ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ดำรงตำแหน่งประธานแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในศาลฎีกา นายพศวัจณ์ กนกนาก ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ดำรงตำแหน่งประธานแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา นายนิพันธ์ ช่วยสกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ดำรงตำแหน่งประธานแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศในศาลฎีกา
ด้านนายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม เผยวันเดียวกันว่า วันที่ 1 ส.ค. ศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญามีนบุรี ศาลแพ่งพระโขนง ศาลอาญาพระโขนง ศาลแพ่งตลิ่งชันและศาลอาญาตลิ่งชัน พร้อมเปิดให้บริการประชาชนแล้ว ทุกแห่งตั้งอยู่ในศาลจังหวัดเดิม การจัดตั้งศาลทั้ง 6 แห่งเป็นการยกฐานะจากศาลจังหวัดที่มีผู้บังคับบัญชาระดับผู้พิพากษาหัวหน้าศาล เป็นศาลที่มีผู้บังคับบัญชาระดับอธิบดีผู้พิพากษา คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมมีมติแต่งตั้งคณะผู้บริหารศาลทั้ง 6 ศาล และคณะผู้พิพากษาของทุกศาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวต่อไปว่า ส่วนการเตรียมการก่อนหน้านี้ มีการประชุมร่วมกับสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) และสภาทนายความ เพื่อซักซ้อมความเข้าใจ รับทราบข้อเสนอแนะและนำไปแก้ไขปรับปรุงจนคิดว่าไม่มีปัญหาอุปสรรคใดๆ ในการเปิดทำการของศาลใหม่ทั้ง 6 ศาล สำหรับพี่น้องประชาชนมั่นใจว่าได้รับทราบข้อมูลต่างๆที่ทยอยแจ้งมาเป็นระยะๆแล้ว อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะมีเพียงการแยกศาลที่พิจารณาคดีแพ่งและคดีอาญาออกจากกันตามชื่อศาลเท่านั้น ส่วนเขตและอำนาจศาลยังคงเดิม