ดราม่าแบบมหากาพย์องก์ใหม่ในแวดวงอุตสาหกรรม “ท่องเที่ยวไทย” เกี่ยวกับ “จีน” ซึ่งเป็นตลาดทัวร์ใหญ่สุดในบ้านเรา กำลังชวนกันหนีไทยไปเที่ยวเมียนมาประเทศเพื่อนบ้าน
ขณะกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เอ่ยปากลั่นวาจาปี 2561 ถึงไทยจะมีปัจจัยลบรบกวนอยู่บ้าง ทว่า...จีนทัวร์ไทยก็ไม่ได้หายไปไกลเป้า 10.5 -11 ล้านคน จากการเดินทางมาไทยทุกช่องทางแน่นอน ด้านฟากฝั่ง...“แอตต้า” หรือสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว บิ๊กองค์กรเอกชนที่สมาชิกประกอบด้วยธุรกิจต่างๆ อาทิ โรงแรม บริษัทนำเที่ยว ภัตตาคารร้านอาหาร สถานบันเทิง ได้ออกมาเผยตัวเลขจีนทัวร์ไทยช่วง 10 เดือนแรกปีที่แล้วอยู่ที่ 2,595,302 คน...ติดลบไป 24.98%
เดือนมกราคม-พฤษภาคม ตัวเลขยังอยู่ในแดนบวกให้น่าชื่นใจ แต่พอมิถุนายนกลับถูกฉุดเข้าแดนลบ 2.04% และลบต่อเนื่องเป็น 22.17% ในเดือนกรกฎาคมที่เกิดเหตุเรือฟีนิกซ์ล่มจมทะเลภูเก็ต ทำให้ลูกหลานจีนตายไป 47 คน บาดเจ็บไปครึ่งร้อย ย่างเข้าเดือนสิงหาคมตัวเลขก็ยังคงฝังอยู่แดนลบ 36.49%

...
กันยายนดิ่งเป็น 39.20% และตุลาคมช่วงสัปดาห์ทองโกลเดนวีกของจีน ระหว่างวันที่ 1-7 ตลอดทั้งเดือน ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า “จีนทัวร์ไทย” เหลือแค่ 54,423 คน ดิ่งเหวได้มากมายถึง 82.61%...
แอตต้าเคาะตัวเลขจีนเอาแบบมั่นๆ เฉพาะที่ผ่านสนามบินสุวรรณภูมิกับดอนเมืองแล้ว ตลอดปีมี 5.5 ล้านคน พบว่านักท่องเที่ยวเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากที่เคยมากับบริษัทนำเที่ยว ลดไปราว 30%
แต่กลุ่มวางแผนเดินทางด้วยตนเองกลับเพิ่มมากขึ้น...ทำให้พอมองเห็นตัวเลขของทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และ ททท. กับแอตต้า ที่ค่อนข้างจะต่างกันคนละทิศละทาง จนไม่รู้จะเชื่อใครดี?
กระนั้น...ถ้ามองตัวเลขจีนทัวร์ไทยที่สะดุดล้มอยู่ขณะนี้ก็หาได้เกิดจากคนเหล่านี้ชักรู้ว่าคนไทยเริ่มออกอาการรังเกียจมารยาทโฉ่งฉ่างตามนิสัยพวกตน หรือกรณีชายจีนถูกเจ้าหน้าที่ตบหน้าฉาดใหญ่ที่ดอนเมือง กับสาวจีนถูกฆาตกรรมสังเวยน้ำตกโตนงาช้าง อ.หาดใหญ่ ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่ามาจากเหตุแห่งปัญหาการ “พาลหัก” ด้ามพร้าด้วยเข่ากรณี “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ทำให้ทัวร์ไทย...ทัวร์จีนรายเล็กรายย่อยที่ติดร่างแหทำมาหากินกันมานาน ต้องพลอยเจ๊งปิดกิจการแบบโดมิโนไปตามๆกัน
ทัวร์จีน...ถึงได้เจ็บอยู่ในอกก่อนส่งสัญญาณชะลอตัวออกตอบโต้ไทยทันที บวกกับอีกสาเหตุมาจากกรณีเรือฟีนิกซ์ล่มกลางทะเลภูเก็ต ที่เป็นเหมือนหนามบ่งทัวร์จีน ทำให้ต้องมองนโยบายรัฐบาลไทยช่างไม่เสถียรและจริงใจต่อการออกมาตรการรักษาความปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สินทัวร์จีน
...อย่างที่ชอบกล่าวอ้างทุกครั้งในงานขาย “ทัวร์จีนเที่ยวไทย” ในจีน
ทัวร์จีนรู้ดีเรือฟีนิกซ์ล่มครั้งนั้น กระทรวงการท่องเที่ยวฯทำได้ก็แค่การจ่ายเงินเยียวยาศพละ 1 ล้านบาท ผู้บาดเจ็บ 5 แสนบาท ตามข้อเสนอขายตลาดทัวร์จีน ภายใต้การประกันอุบัติภัยให้ เหมือนเกริ่นบอกเป็นนัยๆเที่ยวไทยโอกาสเสี่ยงเจ็บหรือตายเกิดได้ทุกเมื่อ...คงเข้าใจนะ

ด้วยเหตุดั่งนี้แล...ทัวร์จีนถึงแสดงปฏิกิริยาเชิงสัญลักษณ์ ด้วยการเลือกเที่ยวญี่ปุ่น เกาหลี หรือเวียดนามเพื่อนบ้านอาเซียนแทนไทย ประจวบกับเมียนมาเริ่มเปิดประเทศรับทัวร์ต่างชาติ หลังรัฐบาลทหารเปิดทางให้รัฐบาลประชาธิปไตยเข้ามาบริหารประเทศแทนเมื่อปี 2553
จากนั้น...รัฐบาลเมียนมาจึงได้มุ่งพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกขึ้นมารองรับ เช่น การเปิดน่านฟ้าการบินเพิ่มขึ้น ส่งเสริมการลงทุนภาคธุรกิจโรงแรม ชูสถานที่ท่องเที่ยวโดดเด่น อาทิ เจดีย์ชเวดากอง ทะเลเจดีย์พุกาม มัณฑะเลย์ ทะเลสาบอินเล เมืองตองยี กับน่านน้ำทะเลอันดามัน
และ...เมืองคะฉิ่นทางตอนเหนือ ติดเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวได้แล้ว
กระทรวงโรงแรมและการท่องเที่ยวยืนยันว่า ปี 2557 เมียนมามีนักท่องเที่ยวต่างชาติไปเที่ยว 3.5 ล้านคน ทำรายได้ราว 37,620 ล้านบาท ปี 2558 เพิ่มเป็น 5 ล้านคน ตั้งเป้าไว้ด้วยว่า ปี 2562 ต้องได้ 7.5 ล้านคน เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่เกินขีดความสามารถที่มีรองรับ
กระทรวงโรงแรมและการท่องเที่ยวฯยังระบุอีกว่า ทัวร์ต่างชาติระดับแนวหน้าล้วนมาจากโซนเอเชีย คือไทย ญี่ปุ่น และจีน ซึ่งสูงถึง 67% ของทัวร์ทั้งหมด
...
ทางฝั่งองค์กรท่องเที่ยวจีนก็เผยบ้างว่า ปี 2560 จีนเที่ยวเมียนมาประมาณ 2 แสนคน ปี 2561 ที่จีนส่อแววไม่เอาไทยจากปัจจัยลบการพาลหักทัวร์ศูนย์เหรียญกับเรือล่มตายสยองภูเก็ต ไม่นับทัวร์จีนประสบเหตุรายย่อยทางเรือ ทางรถ และถูกทำร้ายบาดเจ็บถึงชีวิตอีกต่างหาก
ปัจจัยเหล่านี้ไม่ต่างแรงผลักดันให้ทัวร์จีนคิดหนีไทยไปเที่ยวเมียนมาแทน โดยองค์กรท่องเที่ยวจีนยังตอกย้ำอีกว่า 6 เดือนแรกปี 2561 จีนเที่ยวเมียนมาแล้ว 1.3 แสนคน เพิ่มขึ้น 36%
ส่งผลให้เมียนมาจำเป็นต้องเร่งเครื่องตลาดจีนแบบเต็มลูกสูบ เห็นได้จากการออกมาตรการฟรีวีซ่าให้ทัวร์จีนเอาฤกษ์เอาชัยเที่ยวบ้านเมืองตนได้ 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม...ที่ผ่านมา
ผู้สันทัดกรณีแวดวงการท่องเที่ยวไทยเทศให้ข้อมูลอีกว่า ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจในวันนี้ บรรดาทัวร์โอเปอเรเตอร์จีนเอง ที่เคยหากินกับไทยแล้วเจ๊งเป็นลูกระนาด ก็ตัดสินใจพากันย้ายฐานทำกินไปตั้งหลัก ใหม่ยังนครย่างกุ้ง เมืองหลวงเก่า ซึ่งวันนี้ได้กลายเป็น “ฮับ” ทัวร์จีนไปเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้ว
แถม...ยังชวนทัวร์ไทยที่ชำนาญขายทัวร์จีนไปร่วมทำกินที่นั่น สถานการณ์ตลาดจีนเยือนเมียนมายิ่งทวีความคึกคักมากขึ้น เมื่อเหล่าพ่อค้าหยกจากจีนแห่ไปลงทุนเปิดกิจการค้าหยกเครื่องประดับมงคลคนจีน แก่บรรดาทัวร์จีนที่ตลาดค้าหยกพุกาม มัณฑะเลย์
ก็เท่ากับว่า...เป็นการส่งสัญญาณเตือนไทยอีกครั้งหนึ่งว่า “ทัวร์จีน” ได้ตัดสินใจเปิดหมวกอำลาไทยไปเมียนมาเป็นการแน่นอนแล้ว ตัวอย่างสะท้อนชัดมีให้เห็นเมื่อช่วงสัปดาห์ทองของจีนต้นตุลาคมที่ผ่านมา ทัวร์จีนพลันหายวับไปกับตาจากสยามเมืองยิ้ม 15-50% แล้วไปโผล่ที่เมียนมามากถึง 166%
นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ท่องเที่ยวไทยต้องแก้ หากยังเสียดายและจะรักษาตลาดปริมาณนี้ไว้ ขณะเจ้าภาพจีนก็มีท่าทีออกอาการเข็ดขยาดกับการจะย้อนกลับมาย่ำปัญหาเดิมๆ วิกฤตินี้จึงนับเป็นบทเรียนราคาแพงที่ไทยพึงเจ็บและจำกับการผูกติดตลาดใหญ่ไว้เพียงตลาดเดียว โดยไร้แผนบริหารความเสี่ยงตอบโจทย์ไว้ล่วงหน้า
...

จีนทัวร์ไทย 11 ล้านคนอาจสวยหรูเชิงปริมาณ ทว่า...ด้อยค่าเชิงคุณภาพเพราะรายได้ที่ 3 แสนกว่าล้านบาทนั้น แน่ใจหรือคือเม็ดเงินที่ไทยได้รับทั้งหมด ในเมื่อขณะนี้นายทุนจีนได้แห่มาโกยเงินหยวนกลับไปมหาศาล โดยไทยไร้แผน “หักพาล” เหมือนเจ้าปัญหา “ทัวร์ศูนย์เหรียญ”
ถึงขั้นนี้แล้ว...เอาเป็นว่า “จีนจะหันหัวทัวร์เมียนมาก็ปล่อยจีนไปเถอะ เหลือแต่ไทยควรหันมาชำระตัวเอง ด้วยการพัฒนาตลาดแบบคัดกรองเอาแต่จีนคุณภาพมีกำลังจับจ่ายสูง รู้กติกามารยาทในการท่องเที่ยว เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพบริการบ้านเราให้สูงตามไปด้วย”
เลิกที...กับการสมอ้างทำตลาด “ทัวร์จีนไฮเอนด์” แล้วมั่วเอาทัวร์ปลาซิวปลาสร้อยมาหลอน หากเจ็บแล้วไม่จำให้พึงระวัง คนในแวดวงท่องเที่ยวฝากเตือนมาด้วยความหวังดี เพราะ... “ทัวร์แขก–ทัวร์หมีขาว” กำลังเดินย่ำตามหลังทัวร์จีนมาติดๆ.