เคสผู้ป่วยฉุกเฉินเส้นเลือดในสมองแตกเฉียบพลัน...มีเลือดออกในสมอง ต้องเจาะหัวดูดน้ำและเลือดออก ญาตินำส่งโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใกล้บ้าน เรื่องนี้เป็นประเด็นถูกแชร์ส่งต่อเป็นกระแสร้อนในโลกออนไลน์...ด้วยเพราะในชั้นแรกถูกเรียกเก็บค่ารักษาเลย เป็นเงิน 600,000 บาท
อีกทั้งหลังการผ่าตัดแล้ว โรงพยาบาลแจ้งว่า...ทำอะไรไม่ได้แล้ว (การผ่าตัดล้มเหลว) ก็มีการเรียกเก็บค่ารักษาเพิ่มอีก 170,000 บาท ปัญหามีว่า...เจ้าของโพสต์มีข้อกังขาเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ผู้ป่วยกรณีฉุกเฉิน!
วินาทีแห่งความเป็นความตาย...ประชาชนควรที่พึงจะได้รับการรักษาจากทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชนยื้อชีวิตเฉพาะหน้าไปก่อน ไม่น่าจะต้องเสียเงินมากมายมหาศาลขนาดนี้ และต่อมา...ญาติผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง 30 บาทรายนี้ ได้ประสานไปยังโรงพยาบาลศิริราชและ สปสช. เพื่อย้ายผู้ป่วยไปรักษาที่นั่น
อีกมุมหนึ่ง...เหมือนหนังคนละม้วน ข้อมูลข้อเท็จจริงอีกด้านฝั่งโรงพยาบาลเอกชน คำกล่าวหา...แพทย์ใจร้ายไม่ยอมให้สิทธิฉุกเฉิน เพราะผู้มีอำนาจตัดสินว่าฉุกเฉินเข้าเกณฑ์หรือไม่ ไม่ใช่แพทย์ แต่เป็นสำนักการแพทย์ฉุกเฉิน...“ผู้ป่วยรายนี้ถูกประเมินแล้วว่าไม่เข้าเกณฑ์”
ผู้ป่วยรู้ตัวดี ไม่มีแขนขาอ่อนแรง คะแนนทางระบบประสาทเต็ม 15 พูดตอบโต้ได้ดี ไม่มีความผิดปกติทางระบบประสาท เจ้าหน้าที่แจ้งแล้ว แต่ญาติยืนยันว่าไม่ขอย้ายไปใช้สิทธิที่โรงพยาบาลต้นสังกัด (โดยมีเอกสารยืนยันถึงการปฏิเสธ)...ห่างไปเพียงแค่นั่งรถไม่เกิน 20 นาที ณ เวลาตีหนึ่งในขณะนั้น และการรักษาก็ดำเนินกันไปตามขั้นตอนปฏิบัติจากทีมแพทย์ผู้รับผิดชอบ กระทั่งเชื่อมโยงไปถึงการส่งตัวรักษาต่อที่โรงพยาบาลศิริราช
คำว่า “ฉุกเฉิน” คือเงื่อนปมปัญหาสำคัญสำหรับกรณีนี้ ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และโฆษก สปสช. บอกว่า กรณีการใช้สิทธิรักษาเคสฉุกเฉิน อธิบายให้เห็นภาพว่า...โดยปกติแล้ว “คนไทย” ทุกคนมีสิทธิเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ประกันสังคม หรือบัตรทอง แต่ละสิทธิก็จะมีการดูแลผู้มีสิทธิของตัวเองอยู่แล้ว
...
ถ้าเป็นบัตรทองหรือหลักประกันสุขภาพ คนไข้จะต้องมีหน่วยบริการประจำ เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปหา แต่ถ้ารักษาไม่ได้ก็ส่งต่อไปที่อื่น จะไปไหนก็ได้... จะไปโรงพยาบาลไหนก็ได้ ไม่ได้ยกเว้นกรณีเดียวคือกรณี “ฉุกเฉิน”
เช่น ผมเป็นคนโคราช (หน่วยบริการประจำอยู่โรงพยาบาลปากช่อง) ไปเที่ยวระยองแล้วโดนแมงกะพรุนไฟจนช็อกหมดสติ กรณีอย่างนี้จะไปเข้าโรงพยาบาลไหนก็ได้ในระบบ แล้วก็ส่วนกลางจ่ายให้ แต่บังเอิญว่าโรงพยาบาลของแต่ละสิทธิมีไม่เหมือนกัน ของบัตรทองมี 1,000 กว่าแห่ง แต่โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งไม่อยู่ในระบบ
ถ้าไปถึงแล้ว...แม้จะเป็นกรณีฉุกเฉินตามกติกาก็ไปได้ แต่กติกาการจ่ายก็จะเป็นกรณีเฉพาะ หมายถึงว่า...ไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด ยุคก่อนหน้านี้เป็นอย่างนี้ สิทธิข้าราชการก็ไม่มี ประกันสังคมก็ไม่มี
ยุคสมัยหนึ่งจึงเกิดกรณี คนเกิดรถชน ประสบอุบัติเหตุฉุกเฉินไปโรงพยาบาลแล้วไม่รับรักษา ถามหาค่าใช้จ่าย เป็นเรื่องเป็นราวมาแล้วนักต่อนัก รัฐบาลก็เลยมีแนวคิด...เอาอย่างนี้ ต่อไปถ้า “ฉุกเฉิน” เมื่อไหร่ไปโรงพยาบาลไหนก็ได้แล้วก็เอามาเบิกตรงกลาง ไม่ว่าจะเป็นสิทธิอะไรก็ตาม และก็มีปัญหาการตีความคำว่า “ฉุกเฉิน”
“สำหรับหมอก็มีกติกาว่า...ต้องหยุดหายใจ เลือดออกมากจนซีด แต่คนไข้ขึ้นอยู่กับว่าใครมีอาการเหล่านั้น ถ้าเป็นเด็กตัวเล็กๆอายุยังน้อยไปโดนมีดบาดเย็บ 10 เข็ม เราก็อาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องฉุกเฉินสำหรับเรา แต่กับหมอเรื่องนี้จิ๊บๆมาก ก็เลยเข้าใจไม่ตรงกัน”
ปัญหาจึงตามมา...แล้วอีกเรื่องคืออัตราจ่ายให้กับโรงพยาบาลเอกชนจ่ายได้น้อย โครงการก็เลยดำเนินการได้ไม่เต็มที่ เป็นที่มาของการกำหนดกติกากันใหม่เรียกว่า UCEP : Universal Coverage for Emergency Patients...“เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิทุกที่” โดยไม่ต้องสำรองเงินค่ารักษาในระยะเบื้องต้น 72 ชั่วโมงแรก
พร้อมกำหนดเกณฑ์ฉุกเฉินวิกฤติเอาไว้อย่างชัดเจน 6 อาการ คือ 1.หัวใจหยุดเต้น ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ 2.อาการทางสมอง มีการรับรู้ สติเปลี่ยนไป บอกเวลา สถานที่ คนที่คุ้นเคยผิดอย่างเฉียบพลัน
3.หายใจเร็ว แรง และลึก หายใจมีเสียงดังผิดปกติ พูดได้แค่สั้นๆหรือร้องไม่ออก ออกเสียงไม่ได้ สำลักอุดทางเดินหายใจกับมีอาการเขียวคล้ำ 4.ระบบไหลเวียนเลือดวิกฤติอย่างน้อย 2 ข้อ คือตัวเย็นและซีด เหงื่อแตกจนท่วมตัว หมดสติชั่ววูบ หรือวูบเมื่อลุกขึ้นยืน 5.อวัยวะฉีกขาดเสียเลือดมาก เสี่ยงต่อการพิการ และ 6.อาการ อื่นๆที่มีภาวะเสี่ยงต่อชีวิตสูง เช่น เจ็บหน้าอกรุนแรง แขนขาอ่อนแรงทันทีทันใด ชักเกร็ง เป็นต้น
ชัดเจนแล้วว่าภาวะ “ฉุกเฉิน” เป็นเช่นนี้ ชาวบ้านทั่วไปอาจจะไม่เข้าใจ แต่เอาเป็นว่าคนที่จะวินิจฉัยว่าฉุกเฉินหรือไม่ก็คือ “หมอ” ที่อยู่หน้างาน ซึ่งจะบันทึกอาการคนไข้ผ่านซอฟต์แวร์บนเว็บไซต์ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ก็จะมีเจ้าหน้าที่ประจำตรวจสอบประเมินว่าเข้าเกณฑ์หรือไม่ ถ้าเข้าเกณฑ์ก็รักษาได้เลย
แต่...อันที่จริงแล้วก็ยังมีกฎหมายคุ้มครองอยู่อีกว่า ถ้าคนไข้เข้ามาที่โรงพยาบาล มาตรา 28 ของ พ.ร.บ.สถานพยาบาลบอกชัดเจนว่า ถ้าคนไข้มาถึงโรงพยาบาลต้องให้การรักษาตามความจำเป็นก่อนให้คนไข้รอด อย่าไปถามเรื่องเงิน ไม่งั้นจะมีความผิด ซึ่งขณะที่ให้การรักษาอยู่นั้นก็สามารถที่จะส่งข้อมูลมาที่ สพฉ.ประเมินได้
“ถ้าเข้าข่ายฉุกเฉิน ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นใน 72 ชั่วโมงแรก โรงพยาบาลเรียกเก็บได้ที่ สปสช.ได้เลย ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรวบรวมข้อมูลให้เสร็จเรียบร้อยก็ส่งไปให้แต่ละกองทุนจ่ายเงินให้กับโรงพยาบาล”
โฆษก สปสช.ย้ำว่า สำหรับกรณีที่ไม่เข้าเกณฑ์คนไข้ต้องจ่ายค่ารักษาเอง หรือถ้ากองทุนไหนดูแลคนไข้ตัวเองก็ไปเคลียร์กับโรงพยาบาลอย่างเช่นถ้าไม่เข้าเกณฑ์ฉุกเฉินถึงแก่ชีวิต แล้วเป็นคนไข้บัตรทอง เราก็ไปเจรจากับโรงพยาบาลเข้าเงื่อนไขมาตรา 7...เป็นฉุกเฉินแต่ไม่ใช่ฉุกเฉินเร่งด่วนถึงแก่ชีวิต จะมีอัตราจ่ายอีกแบบหนึ่ง
...
“แต่เมื่อรู้แล้วว่า ไม่ได้ฉุกเฉินถึงแก่ชีวิต กองทุนจะต้องย้ายคนไข้ออกจากโรงพยาบาลไปเข้าตามระบบโดยเร็วที่สุด แล้วเราต้องบอกคนไข้ว่าต้องรีบย้าย แล้วถ้าคนไข้ไม่สะดวก...อันนี้แหละต้องจ่ายเงินเอง เพราะเราจะย้ายให้แต่คนไข้ประสงค์จะรักษาต่อที่เดิมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องแยกกัน”
ฉุกเฉิน...เป็นเรื่องไม่คาดฝันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่กับใครก็ได้ สิ่งสำคัญที่ควรรู้ก็คือ “สิทธิ” และ “กรอบกติกา” ที่แต่ละคนพึงมี ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. บอกว่า สิ่งแรกที่อยากจะให้มีก็คืออยากให้ประชาชนทุกคนทราบว่า “คนไทยทุกคนมีสิทธินี้”...เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเกิดกับใคร เมื่อไหร่ ...สมมติว่าเมื่อเกิดแล้วหากต้องไปโรงพยาบาลอยากให้เข้าโรงพยาบาลในระบบก่อน
สิ่งสำคัญคือ...เราต้องรู้ว่าเราเป็นใคร ข้าราชการต้องรู้ว่าเข้าได้เฉพาะโรงพยาบาลรัฐ...ประกันสังคมก็เข้าได้ตามที่คุณมีสิทธิ...บัตรทองแนะนำเลยว่าให้เข้าโรงพยาบาลรัฐไว้ก่อน ถ้าเป็นโรงพยาบาลเอกชน มีเพียง 100 กว่าแห่งเท่านั้นที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพ
แต่ว่า...เจ็บป่วยฉุกเฉิน คงไม่มีใครคิดเรื่องนี้ ต้องเข้าใกล้ไว้ก่อน ต้องบอกเจ้าหน้าที่เลยว่าประสงค์จะใช้สิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉิน แล้วโรงพยาบาลจะดำเนินการให้ตามขั้นตอนอย่างที่กล่าวไปแล้ว
ซึ่งก็ต้องยอมรับด้วยว่าใช้เฉพาะกรณีฉุกเฉินถึงแก่ชีวิตเท่านั้น...ถ้าเข้าเกณฑ์ก็จะรักษาให้ภายใน 72 ชั่วโมงให้พ้นขีดอันตราย แล้วกองทุนจะย้ายกลับเข้าสู่โรงพยาบาลในระบบภายใน 72 ชั่วโมง
ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น รัฐบาลรับผิดชอบให้...แต่ถ้าเกิดเราไม่ได้ใช้สิทธิก็จะเกิดปัญหา เข้าใจผิด ความไม่รู้...กลายเป็นเรื่องขึ้นมาได้ โดยเฉพาะผู้ใช้ “สิทธิบัตรทอง” ถ้าเจอปัญหาหรือนึกไม่ออก สามารถโทร.มาปรึกษาสายด่วน สปสช.1330 ได้ทันที.
...