เคยมีนักท่องเที่ยวจะเข้าไปในประเทศที่ไม่ต้องมีวีซ่าสำหรับชาวไทย แต่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองไม่ให้เข้า เพราะเมื่อกดดูข้อมูลแล้ว มีแต่การโจมตีประเทศที่ตนจะเข้าไปเที่ยวกับกรุ๊ปทัวร์
สถาบันการศึกษาในต่างประเทศหลายแห่งใช้การโพสต์และการคอมเมนต์ในโซเชียลมีเดียเป็นหนึ่งในเครื่องมือตัดสินว่าจะรับบุคคลนั้นเข้าเรียนต่อหรือไม่ รวมทั้งบริษัทหลายแห่งที่แอบส่องข้อมูลทางโซเชียลมีเดียย้อนหลังของผู้สมัครเข้าทำงาน พวกที่มีทัศนคติลบ เป็นตัวป่วน เคยโจมตีบริษัทเก่าก็ถูกคัดออกไป
มนุษย์ที่ไม่มีอนาคตเลยก็คือพวกที่เคยทารุณกรรมสัตว์ ทำร้ายสัตว์ หรือมีทัศนคติลบต่อสัตว์ แม้ว่าจะไม่ได้โพสต์หรือคอมเมนต์ตรงๆ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกมากครับ ที่ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ สามารถประมวลผลเพื่อให้ข้อสรุปว่าบุคคลนั้นมีทัศนคติใดต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เปิดฟ้าส่องโลกเคยเตือนเรื่องนี้ตั้งแต่โซเชียลมีเดียปรากฏแรกๆ ซึ่งในสมัยนั้น หลายคนยังประมาทความสามารถของเทคโนโลยีเรื่องการประมวลผลจากข้อมูลขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม การเมืองระดับนานาชาติ ระดับประเทศ หรือแม้แต่ระดับบุคคล แม้ภายหลังจะลบหรือซ่อน หรือใช้ชื่อปลอม แต่ก็ไม่พ้นความสามารถของปัญญาประดิษฐ์
23 มิถุนายน 2025 Facebook U.S. Embassy Bangkok ของสถานทูตสหรัฐฯประจำกรุงเทพฯ เผยแพร่ข้อความแนะนำสำหรับผู้สมัครขอวีซ่าประเภท F (ไม่ว่าจะ F-1 สำหรับผู้ที่ต้องการไปเรียนเต็มเวลา หรือ F-2 สำหรับคู่สมรสหรือบุตรของผู้ถือวีซ่า F-1) วีซ่าประเภท M (M-1 สำหรับผู้ที่ต้องเรียนระดับสายอาชีพหรือเทคนิค และ M-2 ซึ่งเป็นคู่สมรสหรือบุตรของผู้ถือวีซ่า M-1) และวีซ่าประเภท J (J-1 เป็นของพวกนักเรียนแลกเปลี่ยน นักศึกษาฝึกงาน นักวิจัย อาจารย์ แพทย์ฝึกหัด ฯลฯ และ J-2 สำหรับคู่สมรสหรือบุตรของผู้ถือวีซ่า J-1)
...
ว่าจะต้องปรับค่าความเป็นส่วนตัวของบัญชีโซเชียลมีเดียทั้งหมดเป็นแบบสาธารณะ เพื่อตรวจสอบข้อมูลยืนยันตัวตนและคุณสมบัติในการเดินทางเข้าสหรัฐฯ ซึ่งแน่นอนว่าทัศนคติทางด้านต่างๆมีผลอย่างยิ่ง
มหาวิทยาลัยและบริษัทในสหรัฐฯใช้ระบบ background check โดยเฉพาะเช็กประวัติด้าน animal cruelty (ทารุณสัตว์) แล้วก็ปฏิเสธหากมีพฤติกรรมดังกล่าว บริษัท Google, Amazon, Microsoft ฯลฯ มีนโยบายไม่รับผู้ที่เคยทำความผิดด้านการใช้ความรุนแรงทั้งต่อคนและต่อสัตว์
มหาวิทยาลัยในเซี่ยงไฮ้ตัดสิทธิ์ผู้สอบเข้าเรียนผ่านด้วยคะแนนสูงคนหนึ่ง เพราะไปสืบค้นจากโซเชียลมีเดียว่าเคยเหยียบแมวจนตาย นักร้อง K-Pop ของเกาหลีใต้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังถูกถอดจากรายการทันทีที่มีการค้นพบจากโซเชียลมีเดียว่าเคยโยนสุนัขลงจากระเบียง ทั้งที่เหตุการณ์นั้นทำเมื่อตอนเด็ก แม้ว่าอายุความของคดีจะหมดแล้ว แต่การวิจารณ์ของผู้คนผู้รักสัตว์ก็กดดันจนกระทั่งต้องถอด
นักการเมืองผู้มีอนาคตสดใสของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีคนหนึ่งมีตำแหน่งใหญ่ทางการเมืองรออยู่เบื้องหน้า วันดีคืนดีก็มีคนที่รู้ประวัตินักการเมืองคนนี้ เอาเรื่องตอนสมัยวัยรุ่นที่เคยทารุณสัตว์ออกมาเปิดเผย เท่านั้นเองครับ ถูกพรรคการเมืองถอนการสนับสนุน และถูกบังคับให้ลาออกจากทุกตำแหน่ง ถูกกดดันจนกระทั่งอยู่ในเยอรมนีไม่ได้อีกต่อไป
เรื่องของการทารุณสัตว์หรือทัศนคติลบเกี่ยวกับสัตว์เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นสำหรับพรรคการเมืองในสแกนดิเนเวีย จะมีการไปสืบหาข้อมูล ผู้สมัครแข่งขันตำแหน่งทางการเมืองต้องไม่มีประวัติว่าเคยมีความรุนแรงต่อสัตว์
ปัจจุบันมีองค์กรอาสาสมัครด้านสัตว์เกิดขึ้นมาบานเบอะเยอะแยะ องค์กรพวกนี้คอยสแกนบุคคลทั้งในภาคและนอกภาคการเมือง บางครั้งมีข้อมูลเพียงพอจนกระทั่งถูกฟ้องศาล นอกจากศาลจะตัดสินจำคุกแล้ว ยังตัดสินตัดสิทธิ์การเลี้ยงสัตว์ตลอดชีวิต
บัดนี้โซเชียลมีเดียกลายเป็นเครื่องมือของทุกองค์กรบนโลกใบนี้ ในการสแกนเพื่อไม่ให้บุคคลที่มีประวัติด่างพร้อยหรือทัศนคติลบเข้ามาอยู่ในประเทศหรือในองค์กรของตัวเอง ผมเชื่อว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แม้แต่ภาพเพียงภาพเดียวที่ท่านโพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย แม้ไม่มีคำพูดอะไร แต่ปัญญาประดิษฐ์สามารถประมวลได้ว่าผู้โพสต์ โพสต์ด้วยทัศนคติอย่างไร ผู้โพสต์ก็อาจจะหมดอนาคตตลอดชีวิต.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com
คลิกอ่านคอลัมน์ “เปิดฟ้าส่องโลก” เพิ่มเติม