กลายเป็นประเด็นที่สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา จากกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างผู้นำไทยกับอดีตผู้นำกัมพูชาถูกนำมาเผยแพร่สู่สาธารณชน

ก่อให้เกิดคำถามตามมามากมาย ถึงความเหมาะสมของถ้อยคำที่ใช้ในการพูดคุย หรือความถูกต้องในกระบวนการขั้นตอน ซึ่งเรื่องนี้จะขอรับใช้ท่านผู้อ่าน ยกตัวอย่างของรัฐบาลพญาอินทรี “สหรัฐอเมริกา”

แหล่งข่าวในทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เคยอธิบายไว้ว่า แม้ปัจจุบันจะเป็นยุคที่เต็มไปด้วยช่องทางการสื่อสารทางออนไลน์ แต่การพูดคุยทาง “โทรศัพท์” ยังถือเป็นอุปกรณ์สำคัญทางการทูตระหว่างประเทศ เพราะน้ำเสียงของคู่สนทนาสามารถบ่งบอกถึงสิ่งที่จำเป็นในการเจรจาต่อรอง

ทำเนียบขาวสหรัฐฯมีโทรศัพท์เครื่องแรกในปี 2420 ก่อนติดตั้งเพิ่มในห้องทำงานรูปไข่ในปี 2472 แต่ในตอนนี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะคุยโทรศัพท์ที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าห้องทำงาน ห้องสมุด ห้องประชุมต่างๆ รวมถึงในรถยนต์ประจำตำแหน่ง “เดอะ บีสต์” หรือบนเครื่องบิน “แอร์ ฟอร์ซ วัน” เพียงแต่อย่างหลังสุดจะมีสัญญาณดีเลย์เล็กน้อย คู่สนทนาจะคุยเสียงคร่อมกันในทีแรก ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะจับทางปรับจังหวะให้เข้ากัน

กระบวนการต่อสายถึงผู้นำประเทศอื่นของทำเนียบขาวสหรัฐฯ จะดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ “ห้องสถานการณ์” ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่จากกองทัพ กระทรวงต่างประเทศ ฝ่ายข่าวกรอง หรือคณะทำงานฝ่ายสื่อสารของทำเนียบขาว ดูแลการคุยโทรศัพท์ของผู้นำไม่ว่าจะโทร.หารือกันตอนไหนและที่ใด บางครั้งการสนทนาอาจมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงระดับสูงนั่งอยู่ด้วย เพื่อรับฟังจับทิศทางการหารือ

...

แหล่งข่าวรายหนึ่งระบุว่า ส่วนมากจะมีการนั่งนับถอยหลังให้ทีมงานรับรู้...อีก 5 นาที อีก 2 นาที ประธานาธิบดีมาแล้ว...และจากนั้นพอผู้นำต่างประเทศรับสาย ทางเจ้าหน้าที่ก็จะแจ้งไปยังคู่สนทนาว่า “กรุณาถือสายรอประธานาธิบดีครับ”

การสนทนาหารือระหว่างผู้นำสหรัฐฯกับผู้นำต่างประเทศจะไม่มีการ “บันทึกเสียง” อัดไว้ ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ทำกันมานับตั้งแต่เกิดเหตุอื้อฉาวคลิปเสียง “วอเตอร์เกต” ของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน แต่ภายในห้องข้างๆจะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง 1-3 คน รับฟังการสนทนาและพิมพ์บันทึกตามอย่างรวดเร็ว เพื่อจัดทำ “เอกสารสำเนา” ทีมทำงานสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เปิดเผยว่า เอกสารสำเนานี้อาจมีการส่งต่อให้ทีมที่ปรึกษา คณะทำงานต่างๆ หรือเก็บเป็นความลับไม่เผยแพร่ หากเป็นเรื่องที่เซนซิทีฟสุ่มเสี่ยง

และบางครั้ง ทีมความมั่นคงระดับสูงอาจตัดสินใจปรับแก้เอกสารสำเนา เพื่อให้สะท้อนถึงนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯได้ดีขึ้น คำที่จะถูกปรับแก้มีทั้งคำที่เขียนผิด หรือถ้อยคำที่ไม่ตั้งใจแต่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดๆ ส่วนคำจิกกัดอะไรต่างๆที่ผู้นำสหรัฐฯตั้งใจพูด พวกนี้จะไม่แก้ปล่อยทิ้งไว้

การที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯต่อสายโทรศัพท์ถึงใคร ย่อมมีเป้าประสงค์เพื่อเจรจาหาจุดร่วมในนโยบายที่กำลังมีปัญหา หรือแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ อย่างกรณีที่เคยขอเยอรมนีให้ช่วยเพิ่มบทบาทในการฝึกซ้อมทหารอัฟกานิสถาน หรือการให้ความช่วยเหลือสำหรับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ

หากมีการแถลงข่าวว่า การสนทนาครั้งนี้ “ตรงไปตรงมาและจริงใจ” ให้ตีความได้เลยว่าเป็นการถกเถียงอย่างดุเดือด ซึ่งหากเกิดกรณีนี้มีมาตรฐานกันอยู่ว่า หากผู้นำชาติพันธมิตรหรือไม่ใช่พันธมิตร กำลังไปในทิศทางที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงของสหรัฐฯ ทางผู้นำจำเป็นต้องให้คำตักเตือนที่สุภาพแต่หนักแน่น “ไม่ใช่การข่มขู่ เพราะข่มขู่ยากที่จะได้ผล แต่ให้บอกไปตรงๆว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น และย่อมส่งผลให้การเจรจาใดๆกับเราในอนาคตมีความยากลำบากกว่าเดิม”

แหล่งข่าวยังเปิดเผยว่า จากการสนทนาที่ผ่านๆมา งานหนักที่สุดคือการคุยกับผู้นำจีน เพราะจะใช้เวลานาน ต้องรอการแปลภาษา อีกทั้งฝ่ายสหรัฐฯจะต้องกล่าวประโยคที่สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ฝ่ายจีน

อย่างสมัยประธานาธิบดีบุช จะมีถ้อยคำ “พิธีกรรม” ที่ต้องพูดทุกครั้งว่า สหรัฐฯจะรักษาจุดยืนเรื่องนโยบายจีนเดียวยึดตามแถลงการณ์ร่วมและกฎหมายความสัมพันธ์ไต้หวัน สหรัฐฯขอต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เป็นอยู่จากการตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียว และขอให้ทุกฝ่ายหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและกระทำการยั่วยุ กลายเป็นว่ากว่าจะเข้าประเด็นที่อยากจะหารือกัน จะอยู่ในช่วงการสนทนา 10 นาทีสุดท้าย

แต่ทั้งหมดทั้งปวงนี้ การสนทนาของประธานาธิบดีสหรัฐฯกับผู้นำต่างประเทศจะไม่มีการปล่อยให้ขึ้นอยู่กับโอกาสแม้กระทั่งการคุยหยอกล้อ ทุกอย่างจะต้องถูกเตรียมการไว้อย่างครบถ้วน อย่างสมัยประธานาธิบดี “บารัค โอบามา” (ที่ถือว่ามีพรสวรรค์อย่างมากในการเจรจา) ทางทีมงานจะมีแฟ้มเอกสารความมั่นคงเตรียมไว้ เป็นเอกสารข่าวกรองว่า “คู่สนทนา” ในครั้งนั้นๆเป็นคนอย่างไร ไม่ว่าจะเรื่อง มีนิสัยเช่นไร อารมณ์ร้อนไหม ชอบมุกตลกหรือไม่ สุขภาพดีไหม สมาชิกครอบครัวมีใครเจ็บป่วย มีปัญหาชีวิตรักหรือไม่ ไปจนถึงเรื่องที่ว่าผู้นำคนนั้นๆกำลังตกอยู่ในสถานการณ์การเมืองเช่นไร

วางแผนการหารืออย่างเป็นระบบ เตรียมหัวข้อการสนทนา สิ่งที่จำเป็นต้องพูด แต่ไม่ถึงขั้นต้องมากำหนด ควบคุมจังหวะจะโคน หรือเขียนสคริปต์เตรียมไว้ เพราะสุดท้ายเขาคือประธานาธิบดี อยากจะพูดอะไรก็พูด เพียงแต่ความตั้งใจทำการบ้าน ความสามารถในการเจรจา หรือพรสวรรค์ทางการเมืองของแต่ละคนไม่เท่ากัน และทำให้ในบางครั้งเกิดกรณี “ปล่อยไก่” มีอะไรมึนงงหลุดออกไป.

...


วีรพจน์ อินทรพันธ์

คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม