เมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นเพียงวันสำคัญของชาวรัสเซีย เพื่อรำลึกถึง “ชัยชนะ” เหนือกองทัพนาซีเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ยังถือเป็นโอกาสที่ผู้คนทั่วโลก จะได้ตระหนักถึงคุณค่าของเสรีภาพและสันติภาพ หลังจากในช่วงเวลาอันโหดร้ายครั้งนั้น โลกจำเป็นต้องต่อสู้กับลัทธินาซี หรือแนวคิดที่มองว่าคนกลุ่มหนึ่งเหนือกว่าทุกสิ่ง
โดยกรณีนี้ “เยฟกินี โทมิคิน” เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย นั่งคุยส่วนตัวกับทีมข่าวต่างประเทศหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปี วันแห่งชัยชนะ หรือที่บางประเทศเรียกว่าวันแห่งการรำลึกการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุโรป ซึ่งปีนี้ยังคงมีขึ้นท่ามกลางบรรยากาศความขัดแย้งทั่วโลก โดยเฉพาะสงครามยูเครนที่ดำเนินมาเป็นเวลานานกว่า 3 ปี
“ที่เปิดคำถามมาว่า แนวคิดที่คนกลุ่มหนึ่งเหนือกว่าคนอื่น พวกเราต้องมาก่อน ฟังดูคุ้นๆหรือไม่ เรื่องนี้จำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องแยกให้ออกระหว่างลัทธินาซี ความรักชาติ และชาตินิยม จำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดและตัดสินใจเดินทางที่ผิด”
จึงเป็นที่มาว่าตลอด 8 ทศวรรษที่ผ่านมา ชาวรัสเซียได้ให้ความสำคัญในการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และสร้างความมีส่วนร่วมต่างๆที่ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในตำรา เริ่มไปเลยตั้งแต่การศึกษาระดับอนุบาลไล่มาเป็นลำดับ หากได้มีโอกาสไปรัสเซียจะเห็นได้ว่า ตามอนุสรณ์สถานต่างๆ จะมีคนไปแสดงความเคารพเป็นจำนวนมาก อย่างที่บริเวณคบเพลิงที่ไม่มีวันดับบริเวณกำแพงพระราชวังเครมลิน เพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในสงคราม
แต่แน่นอนว่าในเรื่องนี้ชาวรัสเซียอาจมีจิตสำนึกที่แรงกล้า เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่แทบทุกครอบครัวชาวรัสเซียได้ผ่านประสบการณ์ กองทัพนาซีรุกรานสหภาพโซเวียตเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2484 ภายใต้รหัสปฏิบัติการบาร์บารอสซา ซึ่งชาวรัสเซียได้ต่อสู้เป็นเวลากว่า 4 ปี และเรียกขานกันว่า “มหาสงครามผู้รักชาติ”
...
นับเป็นห้วงเวลาอันน่าเศร้าสลด มีผู้เสียชีวิตถึง 27 ล้านคน มากกว่าครึ่งหนึ่งคือพลเรือนและปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่จำนวนผู้เสียชีวิตมีจำนวนสูงจนน่าตกใจ เป็นผลพวงจากแนวคิดที่กองทัพผู้รุกรานถูกปลูกฝังมาว่า พวกเราคือเผ่าพันธุ์ที่ด้อยกว่า อยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามนุษย์ (Sub-Human)
ยอมรับว่าคนที่ผ่านสงครามมาจริงๆมักจะไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังมากนัก ลูกหลานต้องนำเกร็ดมาประติดประต่อกันเอง อย่างครอบครัวผมทั้งฝั่งสามีและภริยาก็มีสมาชิกที่เป็นทหาร ผ่านศึก มีคุณป้าเป็นพลวิทยุสื่อสารประจำเรือรบ ที่ปกป้องทะเลสาบ “ลาโดกา” เส้นทางส่งเสบียงเส้นเดียวที่ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตของชาวเมือง “เลนินกราด” (เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์กในปัจจุบัน) หลังจากเมืองถูกทัพนาซีปิดล้อมทางบกอย่างสมบูรณ์
ทั้งยังมีสมาชิกครอบครัวอีกรายที่ออกศึกและถูกยิงเข้าที่หน้าอกบริเวณแนวรบใกล้เลนินกราดช่วงปี 2486 ได้รับการปลดประจำการโดยมีกระสุนฝังอยู่ใกล้หัวใจ เนื่องจากสมัยนั้นไม่มีเทคโนโลยีที่จะผ่าตัดออกได้ อย่างประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ก็สูญเสียพี่ชายคนโตในช่วงสงครามด้วยเช่นกัน
เรื่องราวเหล่านี้ถือเป็นความกล้าหาญ ถือเป็นเหล่าวีรบุรุษที่น่าจดจำ ซึ่งคนรุ่นผ่านศึกนับวันยิ่งเหลือน้อยลงไปทุกขณะ อายุ 90 ปีขึ้นไปกับแตะหลักร้อยกันแล้ว การที่เราจริงจังกับเรื่องนี้ไม่ได้ต้องการปกป้องอนุสาวรีย์ตามสถานที่ต่างๆ แต่เพื่อปกป้อง “ความทรงจำ” และ “บทเรียน” เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า การเมินเฉยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต มันจะย้อนกลับมาซ้ำรอย เหมือนกับบูมเมอแรง
จึงเป็นประเด็นที่น่าวิตกกังวลว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้มีความพยายามที่จะเลือกมองบางมุมของประวัติศาสตร์ บิดเบือนหรือพยายามลบเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ พูดแบบนี้ผมไม่ได้หมายถึงว่า เราด้อยค่าสมรภูมิฝั่งตะวันตกในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่มองว่าไม่ถูกที่จะมาป่าวประกาศว่า เราคือคนทำให้นาซีพ่ายแพ้
อย่างรัสเซียก็เคยมีช่วงที่หลงทาง น่าจะจำกันได้เมื่อช่วงกว่า 20 ปีก่อน มีการเตือนให้ระวังพวกกลุ่ม “สกินเฮด” บูชาลัทธินีโอ-นาซีเวลาเดินทางมารัสเซีย มาทุกวันนี้คงเห็นกันแล้วว่า ไม่มีการพูดถึงกันแล้ว เพราะรัฐบาลได้ประเมินสถานการณ์และคิดอย่างถี่ถ้วนว่าจะปล่อยไว้ไม่ได้ ต้องใช้กฎหมายจัดการอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้แนวคิดชาตินิยมหัวรุนแรงขยายขอบเขตกลายเป็นลัทธินาซี
แต่น่าเสียดายที่ในตอนนี้ แนวคิดอันตรายแบบในยุคสงครามได้มีการแผ่ขยายออกไป บางประเทศมีการเฉลิมฉลองยกย่องหน่วยรบ “เอสเอส” ของกองทัพนาซีอย่างเปิดเผย หรือใช้สัญลักษณ์ต่างๆที่ใกล้เคียงกัน ภายใต้บริบทว่า เราต้องการต่อต้านรัสเซีย เราต้องการลบมรดกของสหภาพโซเวียต
ทำเหมือนลืมกันไปว่า ภาพเหตุการณ์ในอดีตมันโหดร้ายเพียงใด นี่คือคำตอบว่าทำไมรัสเซียจึงให้ความสำคัญอย่างมากกับ “วันแห่งชัยชนะ” เหนือกองทัพนาซี เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของเกียรติภูมิ แต่คือเครื่องเตือนใจ ปลูกฝังจิตวิญญาณเพื่อที่คนรุ่นต่อไปจะไม่เดินรอยตาม
ในอดีตเราได้รับชัยชนะที่สมรภูมิสตาลินกราด และเริ่มต้นการเดินทางไกลสู่ชัยชนะ มาวันนี้เรากำลังเดินทางไกลอยู่เช่นกัน เพื่อไม่ให้แนวคิดอุดมการณ์อันตรายหวนกลับมาได้อีก.
ทีมข่าวต่างประเทศ
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่