ในบรรดากลุ่มธุรกิจผู้ตกเป็นเหยื่อจากความตึงเครียดทางการเมืองรวมทั้งสงครามการค้าสุดระห่ำบ้าดีเดือดและนโยบายด้านพรมแดนของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี วัย 78 ปี หนึ่งในนั้นหนีไม่พ้น “การท่องเที่ยว”

รายงานจากสำนักงานการเดินทางและการท่องเที่ยวแห่งชาติ (NTTO) หน่วยงาน ภายใต้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เมื่อสุดสัปดาห์ก่อน ชี้ชัดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากยุโรปตะวันตกที่ใช้เวลาอย่างน้อย 1 คืนในสหรัฐฯ ในช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ลดลงถึง 17% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวจากตลาดใหญ่ในยุโรปอย่างอังกฤษ ลดลง 15% ส่วนเยอรมนีก็หายไปมากถึง 29%

เช่นเดียวกับยอดรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมายังสหรัฐฯ ในเดือน มี.ค.ลดลง 12% เมื่อเทียบรายปี ถือเป็นการลดลงมากที่สุดนับแต่เดือน มี.ค.2564 ช่วงกลางของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ขณะที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของสหรัฐฯ เป็นตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจมูลค่าเกือบ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ในแต่ละปี (ราว 97 ล้านล้านบาท) หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)

รายงานระบุว่า ความลังเลใจส่วนหนึ่งมีต้นตอมาจากนโยบายตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ โดยไม่นานมานี้มีรายงาน นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากยุโรปถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ และถูกกักตัวไว้ด้วยเหตุผลไม่ชัดเจน ทั้งที่มีใบอนุญาตท่องเที่ยว วีซ่าทำงาน หรือเชื่อว่าได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าสหรัฐฯได้ อย่างเช่น นักท่องเที่ยวแบ็กแพ็กเกอร์จากเวลส์ถูกกักตัวที่ชายแดนแคนาดานานเกือบ 3 สัปดาห์ ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้บินกลับบ้าน หญิงชาวแคนาดาถือวีซ่าทำงานถูกกักตัว 12 วัน ก่อนให้กลับแคนาดา รวมทั้งช่างสักชาวเยอรมนีถูกกักตัวนาน 6 สัปดาห์ หลังจากพยายามข้ามแดนจากเม็กซิโก

...

ส่งผลให้แคนาดาและหลายประเทศในยุโรป เช่น อังกฤษ เยอรมนี เดนมาร์ก และฟินแลนด์ ออกคำแนะนำการเดินทางเข้าสหรัฐฯ โดยเยอรมนียังเน้นย้ำว่าการได้วีซ่าหรือยกเว้นวีซ่าไม่ได้รับประกันการเข้าประเทศ นอกจากนี้หลายประเทศในยุโรปยังเตือนบุคคลข้ามเพศ ผู้ที่ไม่ระบุเพศ และบุคคลที่มีภาวะกำกวมทางเพศอาจเผชิญความยากลำบากในการเข้าเมืองสหรัฐฯ ให้พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ ใครจะไปก็จงเตรียมตัวให้รัดกุม.


อมรดา พงศ์อุทัย

คลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม