เมื่อวันที่ 4 ก.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายโจ ไบเดน วัย 81 ปี ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และตัวแทนพรรคเดโมแครตในการชิงชัยศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือน พ.ย.ปีนี้ พร้อมด้วยนางคามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้พูดคุยกับทีมหาเสียง รวมทั้งคณะกรรมการพรรคเดโมแครต ทั้งแบบพบหน้ากันและผ่านโปรแกรมซูม นายไบเดนยืนยันจะเป็นตัวแทนพรรคเพื่อชิงเก้าอี้ผู้นำประเทศ และไม่มีใครสามารถกีดกันออกจากการแข่งขันนี้ได้ พร้อมย้ำจะสู้จนถึงตอนจบ และเราจะต้องชนะ ก่อนกล่าวขอบคุณทุกคนที่ทำงานร่วมกันอย่างหนัก
ก่อนหน้านี้นายไบเดนเผชิญกับเสียงวิพากษ์ วิจารณ์และความไม่มั่นใจจากผู้สนับสนุน เนื่องจากผลงานของนายไบเดนในการประชันวิสัยทัศน์ดีเบตกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ วัย 78 ปี อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาน่าผิดหวัง ซึ่งทำเนียบขาวให้เหตุผลว่าเป็นเพราะนายไบเดนป่วยเป็นไข้หวัด ขณะที่นายไบเดนกล่าวโทษการเดินทางรอบโลกและความดื้อรั้นไม่ฟังคำกล่าวเตือนจากทีมของตัวเอง ส่งผลให้สมาชิกพรรคเดโมแครตบางส่วนออกมาแสดงความคิดเห็นและกดดันอย่างเปิดเผย อย่างนายลอยด์ ด็อกเก็ตต์ วัย 77 ปี สส.พรรคเดโมแครตจากรัฐเท็กซัส ที่เรียกร้องให้นายไบเดนถอนตัวออกจากการเป็นตัวแทนพรรค
สถานการณ์ดังกล่าวยังทำให้นางแฮร์ริสที่ดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐฯกลายเป็นตัวเลือกสำคัญของพรรคที่อาจมาแทนที่นายไบเดนหากมีการถอนตัวเกิดขึ้น กระนั้นนางแฮร์ริสยังเผยต่อจากผู้นำสหรัฐฯ ว่าจะไม่ยอมแพ้และจะเดินตามการนำทางของนายไบเดน ขณะเดียวกัน นายไบเดนยังได้รับแรงสนับสนุนสำคัญจากผู้ว่าการรัฐต่างๆหลังได้แลกเปลี่ยนและพูดคุยถึงความกังวลอย่างตรงไปตรงมาร่วมกัน เช่น นายทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินเนโซตา นายเวส มัวร์ ผู้ว่าการรัฐแมรีแลนด์ และนางแคที โฮคุล ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก เน้นย้ำว่า การเอาชนะนายทรัมป์ในการเลือกตั้งครั้งนี้คือสิ่งสำคัญที่สุด อีกทั้งมั่นใจในความสามารถและยืนยันสนับสนุนนายไบเดนต่อไป
...
ด้าน นสพ.นิวยอร์ก ไทม์สของสหรัฐฯ รายงานอ้างแหล่งข่าวไม่เผยนามว่า นายไบเดนกำลังพิจารณาอย่างหนักว่าจะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงของตัวเองกลับมาจากผลงานการดีเบตครั้งหายนะที่ผ่านมาได้หรือไม่ อีกทั้งนายไบเดนทราบดีว่า หากการดีเบตครั้งหน้าเป็นเช่นนี้อีกก็คงไปด้วยกันไม่ได้ แต่ยังยืนยันว่านายไบเดนยังคงมุ่งมั่นเพื่อชนะการเลือกตั้งต่อไป ส่วนนายแอนดริว เบตส์ โฆษกทำเนียบสหรัฐฯ เผยกับสื่อท้องถิ่นสหรัฐฯ ว่าคำกล่าวอ้างดังกล่าวไม่ใช่เรื่องจริงอย่างสิ้นเชิง.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่