โลกของเราเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ของระบบสุริยะที่มีดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์แม่ และระบบสุริยะก็อาศัยอยู่ในกาแล็กซีทางช้างเผือก ซึ่งก็มีกาแล็กซีอื่นๆที่เล็กกว่าอยู่รายรอบกาแล็กซีทางช้างเผือก โดยอยู่ในฐานะบริวารของทางช้างเผือกนั่นเอง ทำไมการศึกษากาแล็กซีบริวารถึงสำคัญ นั่นก็เพราะว่าสิ่งนี้จะช่วยให้นักดาราศาสตร์ไขความลึกลับเกี่ยวกับมวลสารมืด และเข้าใจวิวัฒนาการของกาแล็กซีตามกาลเวลาได้ดีขึ้นก่อนหน้านี้ นักดาราศาสตร์ทำแบบจำลองมวลสารมืดมาตรฐานเพื่อทำนายจำนวนกาแล็กซีบริวาร ระบุว่ามีอยู่ 220 แห่ง ทว่าการตรวจสอบในหลายปีที่ผ่านมา นักดาราศาสตร์พบว่ากาแล็กซีทางช้างเผือก มีกาแล็กซีบริวารน้อยกว่าที่แบบจำลองมวลสารมืดมาตรฐานทำนายไว้ ทำให้เกิดคำว่า “ปริศนาของบริวารที่หายไป” และเพื่อที่จะแก้ปริศนานี้ ทีมนักวิจัยนานาชาติจากไต้หวัน สหรัฐอเมริกา ที่ร่วมด้วยนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโทโฮคุ ในญี่ปุ่น จึงใช้ข้อมูลโครงการ Hyper Suprime-Cam (HSC)-Subaru Strategic Program (SSP) ทำให้ค้นพบกาแล็กซีบริวารใหม่ 2 แห่งของทางช้างเผือก ระบุว่าเป็นชนิดกาแล็กซีแคระ ได้รับการตั้งชื่อว่า เวอร์โก 3 (Virgo III) และเซกซ์แทนส์ 2 (Sextans II)อย่างไรก็ตาม สัญญาณของโครงการ HSC-SSP ไม่ได้ครอบคลุมทั้งทางช้างเผือก ทีมนักดาราศาสตร์ก็ได้คำนวณว่าจริงๆแล้วอาจมีกาแล็กซีบริวารอยู่จริงประมาณ 500 แห่งก็เป็นได้ และหากจะระบุจำนวนกาแล็กซีบริวารได้ชัดเจนขึ้น จำเป็นต้องมีการถ่ายภาพและการวิเคราะห์ที่มีความละเอียดสูงขึ้น ซึ่งขั้นตอนต่อไปคือการใช้กล้องโทรทรรศน์ที่มีกำลังขยายมากขึ้นเพื่อจะจับภาพท้องฟ้าในมุมกว้างขึ้น เช่น เตรียมใช้หอดูดาวเวรา ซี.รูบิน ในชิลี ช่วงปีหน้า โดยหวังว่าจะมีการค้นพบกาแล็กซีบริวารแห่งใหม่ๆอีกมากมาย.Credit : NAOJ/Tohoku Universityอ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่