สถานการณ์การสู้รบในตะวันออก กลาง “ระหว่างอิสราเอล และอิหร่าน” ศัตรูคู่แค้นกันมายาวนาน เปิดฉากตอบโต้ “ยิงขีปนาวุธโจมตีต่อกัน โดยตรงเป็นครั้งแรก” กลายเป็นชนวนสะเทือนต่อเศรษฐกิจโลกระลอกใหม่ ส่งผลให้ตลาดทองคำ และราคาน้ำมันโลกพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมานี้
แม้ว่าความขัดแย้งครั้งนี้จะคลี่คลายลงแล้ว “แต่ความบาดหมางระหว่างกัน ยังคงอยู่” มีโอกาสกลับมาปะทุยกระดับความรุนแรงในภูมิภาคตะวันออกกลางได้ทุกเมื่อ อันจะนำไปสู่สงครามใหญ่ได้หรือไม่ รศ. ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ผอ.ศูนย์วิจัย เศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ ม.หอการค้าไทย วิเคราะห์ว่า
สำหรับชนวนความขัดแย้งเกิดจาก “กลุ่มฮามาสบุกโจมตีจับชาวอิสราเอส และชาติอื่นๆ มาเป็นตัวประกัน” ส่งผลให้อิสราเอลตอบโต้โจมตีในฉนวนกาซารุนแรงเกินไป จนทำให้ประเทศอาหรับบางส่วนไม่พอใจโดยเฉพาะอิหร่านที่เป็นตัวหลักสำคัญอันมีความขัดแย้งทำสงครามตัวแทนกับอิสราเอลอยู่แล้ว

...
โชคดีล่าสุดอิสราเอล และอิหร่าน ต่างฝ่ายก็ไม่ต้องการให้สงครามขยายวงเพียงแค่การตอบโต้กันจนสถานการณ์เย็นลง “แต่ว่าความขัดแย้งยังไม่จบคงทำสงครามตัวแทนต่อไป” เพราะอิสราเอล และอิหร่านถูกคั่นกลางด้วยอิรัก จอร์แดน ซีเรีย “หากจะก่อสงครามเต็มรูปแบบ” ต้องเคลื่อนพลผ่านประเทศเหล่านี้ที่ต้องเข้าร่วม
เมื่อเป็นเช่นนั้นสงครามในภูมิภาคตะวันออกกลางคาดว่า “ไม่น่าจะบานปลาย หรือขยายวง” แต่อาจยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อ “ต้นทุนขนส่ง และต้นทุนพลังงานเพิ่มสูงขึ้น” ทั้งจะส่งผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย ทำให้มูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างประเทศลดลง

ถ้าชาติตะวันตกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมต่อ “อิหร่าน” แล้วตอบโต้โดยอิหร่าน และพันธมิตร จะมีผลกระทบต่ออุปสงค์มวลรวม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานของโลกในสินค้าหลายชนิดที่เป็นยุทธปัจจัย
นอกจากนี้บริษัทข้ามชาติทั้งหลายมีธุรกรรมกับ “อิหร่าน” ก็อาจได้รับผลกระทบโดยเฉพาะบริษัทในเอเชียที่มีธุรกรรมจำนวนไม่น้อย “เสี่ยงละเมิดต่อสหรัฐอเมริกาออกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน” อย่างล่าสุดบริษัทสัญชาติไทยแห่งหนึ่งถูกปรับเป็นเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 736 ล้านบาท
ในฐานละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐฯ โดย นสพ.วอลล์ สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า “บริษัทสัญชาติไทยแห่งหนึ่งยอมจ่ายค่าปรับ” เพื่อยุติการดำเนินคดีด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า “บริษัทละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน” ด้วยการใช้ระบบการเงินของสหรัฐฯ ทำเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์จากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในอิหร่าน
คาดว่าสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรจะมีมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเพิ่มอีก ทั้งเร่งตรวจติดตามบริษัท นักลงทุน สถาบันการเงินละเมิดการคว่ำบาตร ดังนั้นย่อมกระทบต่อธุรกรรมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ
ถัดมาจุดเสี่ยงสำคัญที่สุดของ “เศรษฐกิจการค้าโลก” อันอยู่ที่บริเวณพื้นที่ยุทธศาสตร์ 2 จุดในตะวันออกกลาง คือ จุดแรก... “ช่องแคบฮอร์มุซ” เป็นจุดยุทธศาสตร์การขนส่งน้ำมันโลกจากประเทศในอ่าวเปอร์เซีย
แล้วช่องแคบแห่งนี้เป็น “จุดอับ” ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจใช้เป็นอาวุธต่อรองในแง่ยุทธศาสตร์ทางทหารและเศรษฐกิจได้เพราะช่องแคบฮอร์มุซมีรูปร่างเป็นตัว V ยาวประมาณ 150 กม.และกว้างในช่วงที่แคบที่สุดเพียงประมาณ 40 กม. เชื่อมอ่าวเปอร์เซียกับมหาสมุทรอินเดีย โดยมีอิหร่านอยู่ทางเหนือและ UAE กับโอมานอยู่ทางใต้
ถัดมาจุดที่สอง...“คลองสุเอซ” จุดนี้มีการเชื่อมต่อมายังทะเลแดงไปออกช่องแคบบับ เอล-มันเดบ บริเวณประเทศเยเมน “เส้นทางเดินเรือของระบบการค้าโลก” ที่เป็นน่านน้ำ มีความคับคั่งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ส่งผลกระทบ ต่อการขนส่งน้ำมัน ธัญพืช สินค้าต่างๆ จากยุโรปมาเอเชีย และเอเชียไปยุโรป

...
เพราะด้วย “การค้าโลก” ต้องพึ่งเส้นทางขนส่งผ่านทะเลแดง 10% และทะเลแดงก็เป็นพื้นที่ที่มีคลองสุเอซที่ปลายสุดด้านเหนือน่านน้ำ และมีช่องแคบบับ เอล-มันเดบที่ปลายสุดทางตอนใต้เชื่อมไปยังอ่าวเอเดน พื้นที่นี้มีการขนส่งน้ำมัน และพลังงานหนาแน่นที่สุดในโลก แล้วสินค้าในยุโรปล้วนขนส่งผ่านน่านน้ำนี้ 80%
ล่าสุดสหรัฐฯเพิ่มการคว่ำบาตรส่งออกน้ำมันอิหร่านผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 3 กลุ่มโอเปก แต่น้ำมันดิบในตลาดโลกยังไม่ทะลุ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพราะอิหร่านไม่มีแผนตอบโต้อิสราเอลหลังถูกโจมตีเมืองอิสฟาฮาน
ยกเว้นแต่ว่า “ใช้จุดยุทธศาสตร์ 2 แห่งในตะวันออกกลาง” เพื่ออำนาจต่อรองในสงครามด้วยการปิดเส้นทางการเดินทางคลองสุเอซ ทะเลแดง ผ่านช่องแคบบับ เอล-มันเดบ หรือที่อ่าวเปอร์เซีย และผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ย่อมกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าโลกรุนแรง และราคาน้ำมันอาจพุ่งขึ้นไปสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ก็ได้
แต่อย่างไรก็ดีหาก “ฝ่ายใดเลือกใช้วิธีนี้” ย่อมอาจสูญเสียแรงสนับสนุนจากนานาชาติ และผู้ตัดสินใจใช้วิธีการดังกล่าวน่าจะอยู่ในภาวะจนตรอกในสงคราม
เช่นนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ “รัฐบาลไทย” ต้องส่งสัญญาณให้ใช้พลังงาน และน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดแล้ววิธีที่ดีที่สุดคือ “การปล่อยให้ราคาพลังงานในประเทศ” สะท้อนความเป็นจริงด้วยการทยอยลดการแทรกแซงราคา การอุดหนุนราคาช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าในช่วงราคาพลังงานสูงได้บ้าง
แต่จะสร้างปัญหาระยะยาวต่อ “ความมั่นคงทางพลังงาน” มีการใช้พลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ เพิ่มความเสี่ยงปัญหาภาวะโลกร้อน “เกิดภาระทางการคลังมาก” ดังนั้นการที่กองทุนพลังงานติดลบมากจากการอุดหนุนราคาโดยคาดว่า “ฐานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง” น่าจะติดลบทะลุ 1 แสนล้านบาทในเดือน เม.ย.2567
...
เพราะฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปลายเดือน มี.ค. ติดลบแล้ว 9.98 หมื่นล้านบาท ถ้าหากอุดหนุนหรือชดเชยต่อก็จะทำให้ขาดทุนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อราคาพลังงานในตลาดโลกพลิกกลับปรับลดลงแล้ว “คนไทย” ก็จะยังคงต้องใช้น้ำมันแพงเช่นเดิม เพราะต้องเก็บเงินสมทบเข้ากองทุน เพื่อแก้ปัญหาการขาดทุนของกองทุนพลังงาน

ล่าสุด “กบน.” พิจารณาปรับเพิ่มอัตราเงินกองทุนน้ำมันประเภทน้ำมันดีเซลเพิ่มอีก 0.20 บาท/ลิตร จะทำให้ราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 50 สตางค์/ลิตร และน่าจะทำให้สภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีทิศทางดีขึ้น
ตอกย้ำเบื้องต้นว่า “สงครามในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน” ยังกระทบเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของไทยโดยตรงค่อนข้างน้อย สัดส่วนของมูลค่าการค้าอิหร่านต่อมูลค่าการค้าทั้งหมดของไทยอยู่ที่ 0.03% สัดส่วนต่ำมากอันเป็นผลจากการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก สัดส่วนมูลค่าการค้าอิสราเอลอยู่ที่ 0.2%
ประเมินกระทบสินค้าส่งออกฟุ่มเฟือยแรง กระทบตลาดแรงงานไทยส่งออกไปอิสราเอลมาก ในส่วนมูลค่าส่งออกอาหาร ยา อาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มขึ้น “แม้นระยะสั้นจะกระทบภาคเศรษฐกิจจริงไม่มาก” แต่ผลกระทบต่อตลาดการเงินโลกกระจายไปทั่ว “ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง” ส่วนตลาดหุ้นไทยมูลค่าตลาดหายไป 8 แสนล้านบาท
...
นักลงทุนต่างชาติขายไปกว่า 1 หมื่นล้านบาท ภายในเพียงแค่ 3 วัน ส่วนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลงไปสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3.5 ปี บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยมี Exposure ในสองประเทศที่ทำสงครามกันค่อนข้างน้อยมาก นักลงทุนอิสราเอล และอิหร่านมีมูลค่าถือครองหุ้นไทยเพียง 141 ล้านบาทเท่านั้น
กองทุนขนาดใหญ่โยกเม็ดเงินออกจากตลาดหุ้น และลดสัดส่วนการลงทุนลง ทั้งมีการเพิ่มน้ำหนักไปที่ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ คาดแนวโน้มราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ราคาทองคำยังคงอยู่ในวงจรขาขึ้นโดยนักลงทุนลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น ตราสารหนี้ในตลาด Emerging Markets

ส่วน “น้ำมัน” มีแนวโน้มขาขึ้น ต่อไปปัจจัยอุปทานจากสงคราม “เงินบาท” มีทิศทางอ่อนค่าลง “นักลงทุน” หันไปถือดอลลาร์สหรัฐฯ เช่นเดียวกับ “ทองคำ” ทำให้ดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบเงินสกุลหลัก
นี่คือสถานการณ์ในตะวันออกกลางกระทบประเทศไทยโดยเฉพาะพลังงาน “รัฐบาล” ควรส่งสัญญาณให้ประหยัดใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะโอกาสที่คนไทยกลับไปใช้น้ำมันราคาถูกเป็นเรื่องยากแล้ว.
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม