วันนี้เราไปดูการเลือกตั้งในอินเดีย หรือ ชมพูทวีป ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกกันนะครับ ข้อมูล ณ 16 เมษายน ตาม Worldometer อินเดียมีประชากร 1,438.98 ล้านคน วันนี้คงเกิน 1,440 ล้านคนไปแล้ว มีผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งกว่า 970 ล้านคน การเลือกตั้งจะเริ่มตั้งแต่ 19 เมษายน ไปจนถึง 1 มิถุนายน ใช้เวลาเลือกตั้งหนึ่งเดือนเศษ เพราะเป็นประเทศใหญ่มี 29 รัฐ การเลือกตั้งแบ่งออกเป็น 7 ช่วง คือ 19 เมษายน, 26 เมษายน, 7 พฤษภาคม, 13 พฤษภาคม, 20 พฤษภาคม, 25 พฤษภาคม และ 1 มิถุนายน และ การนับคะแนนจะมีขึ้นในวันที่ 4 มิถุนายน ใช้เวลานับประมาณ 4 ชั่วโมงก็รู้ผล เพราะนับคะแนนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เร็วกว่าประเทศประชาธิปไตยอนุรักษนิยมเยอะ
การเลือกตั้งของอินเดีย ใช้วิธีลงคะแนนด้วย “เครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์” (Electronic Voting Machines : EVM) แทนบัตรเลือกตั้งที่ทุจริตได้ง่าย เครื่องลงคะแนนจะเป็นระบบปิด ไม่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต เมื่อลงคะแนนเสร็จแล้วค่อยส่งต่อไปยังส่วนกลาง เพื่อเก็บไว้นับคะแนนวันที่ 4 มิถุนายนพร้อมกันทั่วประเทศ
แม้การเลือกตั้งทั่วไปของอินเดียจะเริ่มวันนี้เป็นวันแรก แต่เกจิการเมืองในอินเดียและทั่วโลกต่างฟันธงล่วงหน้าว่า นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี และ พรรคภารติยะชนตะ หรือ พรรค BJP ของเขาจะชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 3 อย่างแน่นอน หลังจากที่ นายกรัฐมนตรีโมดี ชนะการเลือกตั้งมาแล้ว 2 สมัย เป็นนายกรัฐมนตรีมา 10 ปีแล้ว การหาเสียงส่งท้ายเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นายกฯโมดี ได้ประกาศนโยบายหาเสียงในครั้งนี้ของเขาว่า “การรับประกันของโมดี” หรือ Modi’s Guarantee โดยเน้นการสร้างงานในภาคส่วนต่างๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน การบิน รถไฟ ยานพาหนะ ไฟฟ้า พลังงานสีเขียว เซมิคอนดักเตอร์ เภสัชกรรม ฯลฯ เนื่องจากอินเดียยังมีปัญหาคนว่างงาน เงินเฟ้อ ความทุกข์ยากของคนในชนบท
...
โมดี กล่าวว่า อินเดียต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ เพื่อสานต่อนโยบายเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์การเมืองโลก
เศรษฐกิจอินเดียในยุค นายกฯโมดี เติบโตอย่างแข็งแกร่งมาตลอด จีดีพีปี 2566 ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 7.2% (ประชากรมากกว่าไทย 22 เท่า จีดีพีสูงกว่าไทย 3.78 เท่า) คาดว่าปีนี้ 2567 จีดีพีอินเดียจะขยายตัวอีก 7.6% จึงไม่แปลกที่เกจิการเมืองเกจิเศรษฐกิจจะฟันธงล่วงหน้าว่า นายกฯโมดีจะชนะการเลือกตั้งได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย
อินเดีย กำลังเป็น ประเทศทางเลือกที่สำคัญ ของ สหรัฐฯ ในการกระจาย supply chain ด้านอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากที่บริษัทสหรัฐฯในจีนทยอยถอนการลงทุนในจีนตามนโยบายต่อต้านจีนของ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ไอโฟน ก็ไปสร้างโรงงานในอินเดียแทนการขยายกำลังการผลิตในจีน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ไอโฟนที่ผลิตในอินเดียในปีงบประมาณ 2568 จะมีมูลค่าสูงถึง 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 510,000 ล้านบาท เท่ากับ 1 ใน 7 ของจำนวนการผลิตของไอโฟนทั้งหมด
คุณศิริอาภา คำจันทร์ ศูนย์ AEC Connect ธนาคารกรุงเทพ เขียนไว้ใน วารสารการเงินธนาคาร ฉบับเมษายนว่า อินเดียกำลังก้าวไปสู่ “ศูนย์กลางการผลิตชิป” ตามอย่าง สหรัฐฯ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ล่าสุดรัฐบาลอินเดียอนุมัติการสร้างโรงงานผลิตชิปมูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์ ราว 550,000 ล้านบาท ทำให้อินเดียมีโรงงานผลิตชิปรวม 4 แห่ง
บริษัท MacKinsey คาดการณ์ว่า รายได้อุตสาหกรรมชิปของอินเดียจะแตะระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ราว 36.6 ล้านล้านบาทในปี 2573 อีก 6 ปีข้างหน้า 70% ของชิปจะอยู่ใน 3 อุตสาหกรรมหลักคือ รถยนต์ การคำนวณและจัดเก็บข้อมูล และอุปกรณ์ไร้สาย
ขณะที่ ประเทศไทย กำลังส่งเสริมให้เป็น “โรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีน” ที่มาในรูปแบบ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” รัฐบาลไทยใจดี ไม่เก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจีน และ เอาเงินภาษีคนไทยไปอุดหนุนคนซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจีนอีกคันละ 150,000 บาท ไม่รู้คิดได้ยังไง.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม