คราวที่แล้วได้เล่าถึงกลุ่มชาติพันธุ์โจว ประชากรดั้งเดิมที่อาศัยอยู่บนเกาะฟอร์โมซา หรือไต้หวันในปัจจุบันมาเป็นเวลานับพันปีบนเทือกเขาอาลีซาน รวมถึงพิธีมายาซี ที่จัดขึ้นเพื่อปลุกขวัญกำลังใจชาวโจวก่อนทำสงครามหรือล่าสัตว์ โดยสิ่งที่เปรียบเสมือนประตูเชื่อมระหว่างชาวโจวกับเทพเจ้าคือ ฟิเตียว ใบของกล้วยไม้สีทอง หรือดอกไม้แห่งพระเจ้าที่บรรจงปักไว้บนหมวกของบุรุษชาวโจว ดังนั้นพิธีมายาซีจึงขาดกล้วยไม้สีทองไม่ได้
กล้วยไม้สีทอง (ชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Dendrobium chryseum) มีกลีบดอกสีเหลือง ตรงกลางไล่สีส้มกำมะหยี่จากด้านในสู่ด้านนอก พบได้ทั่วไปบนเทือกเขาอาลีซานของไต้หวัน โดยปกติดอกของมันจะเริ่มตูมพร้อมผลิดอกบานสะพรั่งในอุณหภูมิราว 12 องศาเซลเซียส แต่กรีนพีซ องค์กรรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมและสันติภาพนานาชาติเผยข้อมูลจากสถานีตรวจวัดสภาพอากาศอาลีซานว่า อุณหภูมิเฉลี่ยบนเทือกเขาอาลีซานในเดือน พ.ย. จะเพิ่มจาก 12-14 องศาเซลเซียส เป็น 14-16 องศา เซลเซียสภายในปี 2593 บ่งชี้ว่าดอกไม้แห่งพระเจ้าเสี่ยงสูญหายไปเพราะโลกร้อน
อันที่จริง ไต้หวันเผชิญภัยธรรมชาติบ่อยครั้ง ทั้งไต้ฝุ่น ภัยแล้ง รวมถึงอากาศที่ร้อนขึ้น นั่นไม่ได้ ส่งผลต่อชาวโจวแค่เรื่องความศรัทธาที่ไม่สามารถ หาสิ่งใดทดแทนดอกไม้แห่งพระเจ้าเพื่อทำพิธีมายาซีได้ แต่ยังส่งผลต่อวิถีชีวิตชาวโจวซึ่งส่วนใหญ่ ทำเกษตรกรรม ที่แม้จะปลูกพรรณพืชชนิดอื่นแทนกันได้บ้างเมื่อไร้การผลิดอกออกผล อย่างการปลูกกาแฟแทนการปลูกต้นไผ่ แต่นั่นก็ไม่ใช่ทางออกของปัญหาที่ยั่งยืนสำหรับชาวโจว
เกา เต๋อเชิง ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวโจว เผยกับสื่อบีบีซีว่า ที่ผ่านมามีนักการเมืองเดินทางมาพบปะกลุ่มชาติพันธุ์โจวเพื่อหาเสียงเลือกตั้งประธานา ธิบดีไต้หวันที่จะเกิดขึ้นในเดือน ม.ค.2567 แต่ไม่มีใครกล่าวถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่มีต่อวิถีชีวิตของชาวโจวเลย จึงเกิดความกังวลว่า อนาคตของชาวโจวจะเป็นอย่างไร
...
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไต้หวันบังคับใช้กฎหมาย การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีเป้าหมายลดปริมาณคาร์บอน (net-zero) ภายในปี 2593 บ่งชี้ถึงการให้ความสำคัญต่อเป้าหมายผ่านการบังคับใช้กฎหมาย พร้อมยกระดับสำนักงานรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นกระทรวงสิ่งแวดล้อม รวมถึงจัดตั้งสำนักงานความเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ แต่สุดท้ายชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลว่าจะโอบรับพวกเขาได้มากน้อยเพียงใด.
ญาทิตา เอราวรรณ