“สหรัฐฯไม่อยู่ในจุดที่จะให้สัญญากับรัฐบาลยูเครนได้ว่า งบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติมจะมาถึงเมื่อใด เนื่องด้วยเรื่องอยู่ในกระบวนการสภาคองเกรส”
เป็นคำกล่าวของจอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณชัดเจนไปยังรัฐบาลยูเครนว่า อย่าคาดหวังหรือเรียกร้องอะไรจากสหรัฐฯ ณ เพลานี้เลย งบช่วยเหลือกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 2.16 ล้านล้านบาท ยังติดขัดอยู่ในขั้นตอนสภา ก๊อกท่อน้ำเลี้ยงยังถูกปิดแน่น
“ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ยูเครนจะต้องยืนหยัดต่อสู้กับรัสเซียด้วยตัวเอง
จึงไม่แปลกที่ “โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี” ประธานาธิบดียูเครน ในช่วงเดือนที่ผ่านมา จะเก็บตัวเงียบตามที่นิตยสารไทม์สรายงานอ้างแหล่งข่าววงใน ผู้นำยูเครนไม่ปรากฏตัวออกสื่อ เข้าประชุมกับคณะที่ปรึกษาเท่าที่จำเป็น รวมทั้งไม่เข้าร่วมประชุมกับบรรดานักการเมืองอเมริกันที่ปกติจะมีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
อาการเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก เหมือนคนที่ผิดหวังอย่างรุนแรง เพราะเจ้าตัวคงทราบดีว่า หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯและชาติตะวันตกแล้วจะไปต่อเช่นไร กองทัพรัสเซียมีพัฒนาการทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ ขณะที่กองทัพยูเครนเหลือแค่คุณภาพ แต่ปริมาณกำลังถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเผชิญกับการรบแบบ “ทำลายล้าง” มุ่งเน้นการสังหารมากกว่าการบุกชิงดินแดน

...
ภาพประวัติศาสตร์สงครามโลกในอดีตกำลังย้อนกลับมา หากรัสเซียพร้อมแลกหมัด เครื่องจักรสงครามเยอรมนีที่ว่าแน่ ยึดครองยุโรปได้ทั้งทวีปก็ยังเอาไม่อยู่
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ถือเป็นจังหวะที่โชคร้ายสำหรับประเทศยูเครนที่ปล่อยให้สงครามยืดเยื้อมาจนถึง “ฤดูเลือกตั้ง” ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่นักการเมืองจะแสดงบทบาทเรียกคะแนนนิยมมากกว่าช่วงไหนๆ จุดยืนที่เคยหนักแน่นก็กลับลำได้ หากทิศทางลมเปลี่ยนแปลง
เพราะหากมองย้อนดูไทม์ไลน์กันแล้ว การตั้งคำถามว่าสหรัฐฯสนับสนุนยูเครนต่อไปจะมีประโยชน์อะไรก็ดังขึ้นมาเรื่อยๆตั้งแต่ช่วงกลางปี คะแนนนิยมของ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สังกัดพรรคเดโมแครต ก็เริ่มถดถอยจากการหวนคืนวงการของ “โดนัลด์ ทรัมป์” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯปากกล้า สังกัดพรรครีพับลิกัน ที่ชูปัญหาข้าวยากหมากแพงและคำครหาว่าสนใจแต่ยูเครนไม่สนใจประชาชนชาวอเมริกัน
ยังไม่รวมถึงอารมณ์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มองว่าตัวเองเป็น “ผู้มีพระคุณ” ของรัฐบาลยูเครน และเริ่มส่งเสียงหงุดหงิดว่า ความนอบน้อมของยูเครนหายไปไหน ทำไมคำขอร้องถึงกลายเป็นคำสั่ง เสียงขอบคุณทำไมกลายเป็นเสียงโวยวายทวงถาม โดยเฉพาะตัวผู้นำเซเลนสกีที่สลัดคราบ “เด็กในคอนโทรล”
สอดประสานกับเสียงของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงชาติตะวันตกที่ “ให้คำปรึกษา” ด้านการรบแก่กองทัพยูเครน โดยหนังสือพิมพ์เดอะ วอชิงตัน โพสต์รายงานยืนยันว่า เกิดปัญหาร้อยแปดในเรื่องการประสานงานกองทัพยูเครนมาตั้งแต่ต้นปีที่นำไปสู่ความล้มเหลวของการศึกปีนี้ โดยประการแรก เสนาธิการสหรัฐฯกับยูเครนเกิดการถกเถียงอย่างหนักเรื่องกรอบเวลาเป่านกหวีดบุกตีโต้
สหรัฐฯต้องการให้ยูเครนบุกตั้งแต่เดือน เม.ย. เพราะมองว่าแนวรับของรัสเซียยังอ่อนแอ แต่ทางยูเครนเกิดการลังเล มองว่าต้องการการฝึกซ้อมและอาวุธเพิ่มเติม ประการที่สอง เสนาธิการสหรัฐฯ อังกฤษ และยูเครน ทำการจำลองเกมสงคราม 8 แปดครั้งในห้องวอร์รูมในเยอรมนี เพื่อวางแผนการบุกตีโต้ แต่สหรัฐฯคำนวณพลาดไปว่า กองทัพยูเครนที่ไม่มีกำลังสนับสนุนทางอากาศจะรบได้เหมือนกองทัพชาติตะวันตก
ประการที่สาม เสนาธิการสหรัฐฯเสนอให้ยูเครนทุ่มกำลังบุกทะลวงในจุดเดียวคือ “จังหวัดซาโปริชเชีย” ทางภาคใต้ของยูเครน เพื่อตัดการเชื่อมต่อทางบกระหว่างคาบสมุทรไครเมียกับภูมิภาคดอนบาส ทางตะวันออกของยูเครน แต่แกนนำรัฐบาลยูเครนเชื่อว่า กองทัพยูเครนจะบุกโจมตีได้ 3 ทางในรวดเดียว คือจังหวัดซาโปริชเชีย 2 ทาง และจังหวัดโดเนตสก์ 1 ทาง เพื่อทวงดินแดนคืนมาทั้งหมด
และประการที่สี่ ถึงกองทัพสหรัฐฯจะเชื่อมั่นว่าหากทะลวงทางเดียวก็จะสามารถบรรลุภารกิจได้ภายในเวลา 60-90 วัน แต่ทางฝ่ายข่าวกรองสหรัฐฯมองว่าเรื่องนี้มีโอกาสสำเร็จเพียง 50-50 กระนั้นหากไม่ลงมือทำเสียตอนนี้ ความสูญเสียของกองทัพยูเครนจะมากมายมหาศาล
แน่นอนว่าผลลัพธ์จากความสับสนและความไม่ลงรอยก็ปรากฏออกมาแล้ว กองทัพยูเครนเปิดฉากบุก 3 ทิศทางมานานกว่า 5 เดือน แต่ล้มเหลวทุกทาง ขณะที่กลาโหมรัสเซียอ้างตัวเลขว่า ปฏิบัติการดังกล่าวส่งผลให้ทหารยูเครนเสียชีวิตและบาดเจ็บมากกว่า 120,000 นาย
ปัจจัยทั้งหมดนี้บ่งชี้ให้เห็นหรือไม่ว่า ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ยูเครนกำลังอยู่จุดใด และการที่ “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใช้วาทกรรมยุคสงครามเย็นออกแถลงว่าหากยูเครนแพ้และถ้าวันหนึ่งรัสเซียเคลื่อนพลรุกรานชาติสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ขึ้นมา เราอาจได้เห็นทหารอเมริกันรบกับทหารรัสเซีย
ก็เป็นเพียงไฟต์บังคับให้เล่นบทบาทพี่ใหญ่ใจถึงพึ่งได้ ไม่ทอดทิ้งใครไว้เบื้องหลัง แม้ในใจอาจจะทราบดีว่า สถานการณ์ความขัดแย้งยูเครนกำลังถูกลดความสำคัญลงเรื่อยๆ ทั้งในเวทีโลกและเวทีการเมืองสหรัฐอเมริกา.
วีรพจน์ อินทรพันธ์
คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม
...