หุ้นไทยหาปัจจัยบวกไม่เจอ ต่างชาติเทหนัก การเมืองกดดัน ลุ้น 1,500 จุดเอาอยู่หรือไม่

Investment

Capital Market

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

หุ้นไทยหาปัจจัยบวกไม่เจอ ต่างชาติเทหนัก การเมืองกดดัน ลุ้น 1,500 จุดเอาอยู่หรือไม่

Date Time: 23 มิ.ย. 2566 13:52 น.

Video

Broadcom ทำธุรกิจแบบไหน? ถึงกลายเป็น “ผู้ควบคุมนวัตกรรม” แห่งยุค AI | Digital Frontiers EP.49

Summary

ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET index) เช้าวันนี้ ช่วงเปิดตลาดโดนเทขายหนักไปอยู่ที่ระดับ 1,495 จุด หรือลดลงกว่า -13.49 จุด ก่อนรีบาวด์ขึ้นไปเหนือระดับ 1,500 จุดได้ ท่ามกลางความกังวลของนักลงทุนหลายประเด็น ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่เทขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง

ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET index) เช้าวันนี้ ช่วงเปิดตลาดโดนเทขายหนักไปอยู่ที่ระดับ 1,495 จุด หรือลดลงกว่า -13.49 จุด ก่อนรีบาวด์ขึ้นไปเหนือระดับ 1,500 จุดได้ ท่ามกลางความกังวลของนักลงทุนหลายประเด็น ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่เทขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง


โดยดัชนีหุ้นไทยประจำวันที่ 23 มิ.ย. 66 ครึ่งวันเช้า พบว่า ดัชนีปรับลด 2.54 จุด เปลี่ยนแปลง -0.17% ดัชนีอยู่ที่ 1,506.77 จุด มูลค่าการซื้อขาย 19,884.05 ล้านบาท


ทั้งนี้ สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขาย 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล 2.บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) 3.บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) 4.บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 5.บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)


นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังไม่เปลี่ยน ซึ่งในเชิงกลยุทธ์แนะนำ wait&see มาโดยตลอด หากตัดปัจจัยการเมืองออกไปจะเห็นว่า Valuation ของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาไม่ค่อยมีความน่าสนใจอยู่แล้ว เพราะถูกปรับลดประมาณการกำไรลงมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงทำให้ตลาดหุ้นไทยไม่มีเสน่ห์อะไรที่จะดึงดูดนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่ปัจจุบันไปให้ความสนใจกับตลาดหุ้นที่เห็นการปรับเพิ่มประมาณการกำไรมากกว่า


หากเราดูโครงสร้างของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงหลัง แม้ว่าเราจะเห็นเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติซื้อขายเฉลี่ยกว่า 50-60% แต่เกินครึ่งหนึ่งเป็นโปรแกรม High Frequency Trading จึงมองเป็นการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรมากกว่า ส่วนนักลงทุนต่างชาติระยะยาวที่สนใจปัจจัยพื้นฐานจริงๆ มองว่าเขาไม่ได้มีประเทศไทยอยู่ในเรดาร์มานานแล้ว


เพราะฉะนั้น หากจะหวังให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นไทย จะต้องมีสัญญาณบางอย่างที่สามารถดึงดูดเม็ดเงินได้ เช่น สัญญาณการปรับเพิ่มประมาณการกำไรตลาดหุ้นไทย หรือประเด็นการเมืองที่สามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น ซึ่งเป็นส่วนเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติกลับมาได้บ้าง


ส่วนเม็ดเงินลงทุนภายในประเทศมองว่ามีจำกัดมาก เพราะว่าปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad Money : M2) หรือปริมาณเงินที่หมุนเวียนในมือประชาชน เติบโตต่ำสุดในรอบ 20 ปี ทำให้เม็ดเงินไม่แพร่สะพัดทั้งในระบบเศรษฐกิจจริง และในตลาดทุนด้วย


นอกจากนี้ มองว่าตลาดหุ้นไทยจะกลับมาน่าสนใจ เมื่อดัชนีลงไปถึงจุดหนึ่งที่ Valuation กลับมาอยู่ในโซนที่ “ถูก” มากขึ้น ซึ่งทรินิตี้ยังคงให้แนวรับแรกไว้ที่ 1,490 จุด หากยังไม่ถึงจุดนั้นก็สามารถทยอยสะสมได้ แต่แนะนำให้ดูหุ้นรายตัวที่ราคาปรับลดลงสวนทางกับการเติบโตของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้จะเป็นจุดชี้ชะตาของปัจจัยการเมืองที่จะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจออกมาในเชิงบวกหรือลบก็ได้


ด้านนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี พัฒนสิน กล่าวว่า วันนี้ตลาดหุ้นไทยยังคงพักตัวลงมา ประเด็นหลักเรื่องแรกคือเจตจำนงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่แถลงต่อสภาสูง ว่ายังคงเน้นย้ำในการใช้นโยบายการเงินตรึงตัวเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ทำให้ดอลลาร์กลับมาแข็งค่าระยะสั้น และค่าเงินในเอเชียอ่อนค่าลง


สำหรับประเทศไทยเอง เงินบาทอ่อนค่าแบบเร่งตัวเช่านี้เกิดจากความเสี่ยงด้านการเมืองไทยที่ต่อเนื่องมาจากเมื่อวาน ซึ่งตลาดยังรอความชัดเจนเรื่องการประชุมสภา และการเลือกประธานสภา จากความเห็นที่ไม่ตรงกันของพรรคการเมืองใหญ่ที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หลังจากมีการรับรอง ส.ส.ทั้งหมดแล้ว 


อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องนโยบายการเงินสหรัฐฯ มองว่า เฟดจะไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยอย่างที่ตั้งใจได้ทั้งหมด เนื่องจากตัวเลขภาคแรงงานสหรัฐปรับตัวลดลง ส่วนประเด็นเรื่องการเมืองไทย มองว่า ท้ายที่สุดจะเกิดบทสรุปขึ้น ซึ่งนักลงทุนต้องพิจารณาการลงทุนจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก


สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปัจจุบันอยู่ที่ 1,480-1,510 จุด P/E ระดับ 16.2 เท่า มองว่าเป็นโซนน่าซื้อลงทุน เพราะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว 1 เท่า แต่กรอบการแกว่งตัวของตลาดคาดว่าจะผันผวนในช่วงแรก และจะถึงจุดรีบาวด์ได้ โดยให้กรอบแนวรับไว้ที่ 1,490 จุด ส่วนแนวต้าน 1,520-1,530 จุด


ในช่วงนี้สามารถเข้าซื้อสะสมเพื่อลงทุนได้ โดยแนะนำกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น BBL และกลุ่มค้าปลีก เช่น CPAXT มีความน่าสนใจ และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากอุตสาหกรรมการส่งออกที่กำลังจะฟื้นตัวอย่าง KCE, HANA ด้วยเช่นกัน.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ