การทูตไทยในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำ ถือเป็นยุคที่ตกต่ำสุดขีด ไร้บทบาทในเวทีโลก ไร้บทบาทในเวทีอาเซียน ทั้งที่ ประเทศไทยเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งกลุ่มประเทศอาเซียน ล่าสุด สำนักข่าวรอยเตอร์ เปิดโปงไปทั่วโลก นายดอน ปรมัตถ์วินัย (รักษาการ) รัฐมนตรีต่างประเทศ ได้แหกมติอาเซียน เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมลับกับรัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมาขึ้นในประเทศไทย 2 ครั้งแล้ว เรื่องเพิ่งมาแตกเอาครั้งที่ 3 ซึ่งมีการประชุมลับเมื่อวันที่ 18–19 มิถุนายนในประเทศไทย โดยมีเพียง นายปรัก สุคน รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ตอบรับเข้าร่วมเพียงประเทศเดียว ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอื่นปฏิเสธหมด แถมยังตำหนิประเทศไทยที่ไม่เคารพมติของอาเซียนอีกด้วย

การจัดประชุมนี้ถือเป็นการ เสียมารยาททางการทูตอย่างรุนแรง และแสดงให้โลกได้เห็นว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ให้การสนับสนุน รัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมา ที่มาจากการปฏิวัติและปราบปรามประชาชน ไม่ต่างจากไทยเมื่อ 9 ปีก่อน

นายดอน (รักษาการ) รัฐมนตรีต่างประเทศ ยอมรับว่าไทยได้จัดประชุมในลักษณะนี้มา 2 ครั้งแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ออกข่าว ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ถ้าไม่มีสื่อต่างประเทศเปิดโปง คนไทยคงไม่รู้ว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ และ นายดอน ซึ่งเป็นเพียง “รัฐบาลรักษาการ” ไม่มีอำนาจในฐานะรัฐบาล กลับนำประเทศไปผูกมัดกับรัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมาอย่างลับๆ ทั้งที่ทั่วโลกต่อต้านจนได้รับเสียงตำหนิจากประเทศอาเซียนด้วยกัน

การประชุมลับครั้งนี้ นายดอน (รักษาการ) รัฐมนตรีต่างประเทศ บอกว่า ได้เชิญผู้แทนระดับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนทั้งหมด แต่มี กัมพูชา ตอบรับมาประเทศเดียว อีก 8 ประเทศในอาเซียนปฏิเสธคำเชิญหมด

การกระทำของ นายดอน (รักษาการ) รัฐมนตรีต่างประเทศ ครั้งนี้ถือเป็นการหักหน้า ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งทำหน้าที่เป็น ประธานอาเซียน ทั้งที่ กำลังจะมีการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนในเดือนกรกฎาคมนี้แล้ว สามารถนำปัญหาเหล่านี้ไปพูดในที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนได้ แต่ นายดอน กลับอ้างว่า สถานการณ์ปัจจุบันในเมียนมาได้เปลี่ยนแปลงไปมาก มีการสู้รบในประเทศมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นพวกชนกลุ่มน้อย ทำให้มีปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติตามแนวชายแดนตั้งแต่ การค้าอาวุธ ค้ามนุษย์ ค้ายาเสพติด เพิ่มขึ้นอย่างมาก ถ้าเราไม่คุยกับเมียนมาแล้ว เราจะหาทางออกได้อย่างไร

...

ทั้งที่เรื่องเหล่านี้มีมานานแล้ว จับได้คาหนังคาเขาทีไร ก็มีคนใหญ่คนโตในไทยเกี่ยวข้องด้วย อยู่ในวุฒิสภาก็มี คดียังคาราคาซังให้เห็นอยู่เลย ข้ออ้างนี้จึงฟังไม่ขึ้นจริงๆ

นายวิเวียน บาลากริชนัน รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ (ประเทศเล็กแต่มีบทบาทใหญ่ในเวทีโลกมากกว่าไทย) นอกจากปฏิเสธเข้าร่วมประชุมแล้ว ยังกล่าวเชิงตำหนิประเทศไทยว่า ยังไม่ถึงเวลาอันสมควร การที่กองทัพเมียนมาก่อการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ส่งผลให้เกิดความรุนแรงต่อพลเรือนจนถึงปัจจุบัน สั่นคลอนเสถียรภาพของเมียนมาทุกด้าน โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ และเป็นการบั่นทอนความราบรื่นของกระบวนการถ่ายโอนอำนาจ ยิ่งไปกว่านั้น เวลาผ่านไปกว่า 2 ปีแล้ว ยังไม่มีสัญญาณความคืบหน้าใดๆเลยจากรัฐบาลทหารเมียนมา แม้เขาจะไม่เอ่ยชื่อประเทศ แต่ก็เหมือนตำหนิประเทศไทยทางอ้อมว่า ไร้มารยาททางการทูต เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ

ความจริงการเมืองไทยวันนี้ ก็เป็นอย่างที่ รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์พูด รัฐบาลทหารในไทยก็พยายามบั่นทอนความราบรื่นในการถ่ายโอนอำนาจ เช่นเดียวกัน

นายดอน ปรมัตถ์วินัย (รักษาการ) รัฐมนตรีต่างประเทศ จึงสมควรต้องถูกตำหนิ เสียมารยาทการทูต ทำให้ประเทศไทยเสียหาย เพราะรู้อยู่แล้วเป็นเพียง “รัฐมนตรีรักษาการ” ไม่มีอำนาจไปผูกมัดกับประเทศใด สิงหาคมนี้ก็ต้องเก็บของกลับบ้านแล้ว การเปิดเวทีเจรจาลับครั้งนี้ จึงเป็นพฤติกรรมที่น่าสงสัย ทำเพื่ออะไร? ทำเพื่อใคร?

“ลม เปลี่ยนทิศ”