ถึงแม้อิตาลีจะลงประชามติยกเลิกระบอบกษัตริย์ไปตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 1946 เพื่อเปลี่ยนมาใช้ระบอบสาธารณรัฐแทน แต่เหล่าทายาทราชวงศ์ซาวอยก็ยังไม่หยุดยั้งความพยายามที่จะกอบกู้ราชบัลลังก์

ล่าสุด “เจ้าชายเอ็มมานูเอล ฟิลิแบร์โต” เจ้าชายแห่งเวนิส พระโอรสองค์เดียวของ “เจ้าชายวิตโตริโอ เอ็มมานูเอล ดิ ซาวอย” ประมุของค์ปัจจุบันของราชวงศ์ซาวอย ทายาทสายตรงของ “กษัตริย์อุมแบร์โตที่สอง” คิงองค์สุดท้ายของอิตาลี ออกมาประกาศเตรียมสละคิวการสืบทอดราชบัลลังก์ เพื่อส่งไม้ต่อการเป็นรัชทายาทให้พระธิดาองค์โต “เจ้าหญิงวิตตอเรีย ดิ ซาวอย” เจ้าหญิงแห่งคาริญาโน ทำหน้าที่กอบกู้ราชวงศ์ซาวอยแทน หลังจากสูญหายไปจากโลกเกือบ 8 ทศวรรษ โดยเชื่อมั่นว่าพระธิดาจะทรงทำหน้าที่ได้ดีกว่า เพราะถึงเวลาของคนรุ่นใหม่แล้วที่จะสื่อสารกับโลก ไม่ทรงปรารถนาให้พระธิดาต้องรอนานเหมือนกับกษัตริย์ชาร์ลส์ที่สามของอังกฤษ ทรงเชื่อมั่นว่าความฉลาด ลึกซึ้ง และอ่อนโยนของผู้หญิงจะทำให้เป็นผู้นำที่ดี

เมื่อปี 2019 “เจ้าชายวิตโตริโอ” ดยุกแห่งซาวอยและเจ้าชายแห่งเนเปิลส์ ประกาศยกเลิกกฎที่ไม่ให้ผู้หญิงสืบราชบัลลังก์ เพื่อเปิดทางให้พระนัดดา ซึ่งมีแต่ผู้หญิง มีโอกาสขึ้นสืบทอดราชสมบัติได้ แม้ราชวงศ์ซาวอยจะล่มสลายไปแล้วก็ตาม แต่เหล่าพระราชวงศ์อิตาลีก็ยังเปี่ยมล้นไปด้วยความหวังที่จะกอบกู้ราชบัลลังก์

“เจ้าหญิงวิตตอเรีย ดิ ซาวอย” ถูกมองว่าเป็นความหวังใหม่ของราชวงศ์ซาวอย เพราะทั้งสวยทั้งอินเทรนด์ โดนใจคนรุ่นใหม่ ซึ่งหากอิตาลีกลับมามีสถาบันกษัตริย์อีกครั้ง พระองค์ก็ไม่พ้นจะได้นั่งบัลลังก์ในฐานะสมเด็จพระราชินีนาถ กลายเป็นราชวงศ์หญิงพระองค์แรกของซาวอยที่ได้สืบราชบัลลังก์ในรอบ 1,000 ปี ต่อจากพระอัยกา “เจ้าชายวิตโตริโอ เอ็มมานูเอล ดิ ซาวอย” พระโอรสในกษัตริย์องค์สุดท้ายของอิตาลี

...

อย่างไรก็ดี ด้วยความเปรี้ยวเข็ดฟันและแฟชั่นจ๋า ทำให้เกิดกระแสคัดค้านหนักถึงการสืบราชวงศ์ของ “เจ้าหญิงวิตตอเรีย ดิ ซาวอย” ปัจจุบันมีพระชนม์ 19 ชันษา ทรงเป็นอินฟลูเอนเซอร์ดัง มีผู้ติดตามทางอินสตาแกรมเกือบ 80,000 คน และปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่คณะรัฐศาสตร์และประวัติศาสตร์ศิลป์ มหาวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิตี้ออฟลอนดอน ทรงได้รับฉายา “เจ้าหญิงร็อกแอนด์โรล” จากพระบิดา เพราะสนพระทัยเรื่องแฟชั่นและสื่อโซเชียลมีเดีย ทรงได้รับความงามตกทอดมาจากพระมารดานักแสดงชาวฝรั่งเศส

ถึงจะไม่มีราชบัลลังก์จริงให้ลูกหลานแล้ว แต่การต่อสู้แย่งชิงกันของสมาชิกราชวงศ์อิตาลีก็เข้มข้นดุเดือดมาอย่างต่อเนื่อง โดยอีกสายหนึ่งที่อยู่รัสเซีย นำโดย “ไอโมเน ดิ ซาวอย ออสตา” ปฏิเสธไม่ยอมรับการอ้างสิทธิสืบสันตติวงศ์ของเจ้าหญิงวิตตอเรีย เพราะถือว่าผิดกฎหมายอย่างสิ้นเชิง

“พวกเราไม่มีบัลลังก์ เหลือแต่ชื่อราชวงศ์ แต่ถ้าย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐอิตาลีจะพบว่า พวกเขากลัวสถาบันกษัตริย์จะกลับมา ตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นบิดาของเรา กระทั่งถึงรุ่นเราเอง พวกเขาเนรเทศพวกเราออกไป ซึ่งจริงๆแล้วข้อพิพาททุกอย่างไม่ได้เกิดจากแรงจูงใจทางการเงิน เราต่อสู้เพื่อสถานะทางสังคมเท่านั้น” องค์รัชทายาทปัจจุบันทรงเผยความรู้สึก

เดิมทีอิตาลีปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 1861 แต่ชาวอิตาลีเริ่มหันหลังให้ระบอบกษัตริย์ในสมัยของ “กษัตริย์วิกเตอร์ เอ็มมานูเอลที่สาม” เนื่องจากทรงก่อให้เกิดระบอบฟาสซิสต์ของ “เบนิโต มุสโสลินี” และปล่อยให้มุสโสลินีทำการต่างๆตามอำเภอใจโดยไม่ทักท้วง อีกทั้งทรงลงนามในกฎหมายรับรองการกดขี่ข่มเหงชาวยิวในปี 1938 รวมทั้งอนุญาตให้มุสโสลินีนำพาอิตาลีเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง จนในปี 1946 รัฐบาลอิตาลีตัดสินใจทำประชามติถามความเห็นประชาชนว่าต้องการคงระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญต่อไปหรือเปลี่ยนประเทศเป็นสาธารณรัฐ กระนั้น ก่อนการลงประชามติเพียง 3 สัปดาห์ กษัตริย์วิกเตอร์ตัดสินพระทัยสละราชบัลลังก์ แล้วให้พระราชโอรสองค์เดียว “กษัตริย์อุมแบร์โตที่สอง” ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน หวังช่วยกอบกู้ความนิยมกลับคืนมา ทว่า ต้องแพ้ต่อคะแนนเสียงของประชาชน ส่งผลให้ “กษัตริย์อุมแบร์โตที่สอง” ซึ่งครองราชย์เพียง 34 วัน รวมทั้งอดีตกษัตริย์วิกเตอร์และสมาชิกราชวงศ์ซาวอยต้องลี้ภัยออกจากอิตาลีไปอยู่ที่อียิปต์และสวิตเซอร์แลนด์

อิตาลีเป็นสาธารณรัฐมา 77 ปี คงยากสุดๆที่ระบอบราชาธิปไตยจะหวนคืนมาได้ แถมยังต้องยกราชบัลลังก์ให้เจ้าหญิงอินฟลูเอนเซอร์ ถามใจประชาชนดูว่าไหวไหม?!

มิสแซฟไฟร์