มีรายงานหนาหูขึ้นทุกขณะว่า ภายในช่วงกลางเดือน มิ.ย.นี้ ที่ประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) และหุ้นส่วนจะซ้อมรบทางอากาศขนานใหญ่ อาจเป็นช่วงเวลาที่กองทัพยูเครนตัดสินใจเป่านกหวีดปฏิบัติการตีโต้ขนานใหญ่ที่ชาติตะวันตกรอคอย เพื่อทวงคืนดินแดนจากรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม สำหรับทหารในแนวหน้าที่ทำหน้าที่ป้องกันรักษาแนวรบไว้อย่าง “กองพันที่ 28 ยูเครน” ซึ่งนิตยสารเดอะนิวยอร์เกอร์สหรัฐฯ เล่าเรื่องราวไว้สัปดาห์ก่อนนั้นยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ต้อง พยายามเอาตัวรอดจากการปะทะกับกองทัพรัสเซียด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์เท่าที่มีอยู่ในมือ

“เมื่อวันที่ 24 ก.พ.2565 โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน มีคำสั่งระดมไพร่พลจากทุกชนชั้นอายุ 18-60 ปี เพื่อขับไล่ผู้รุกราน แถวรับสมัครยาวเป็นหางว่าว ถึงขั้นที่บางแห่งต้องปิดรับสมัครบอกว่าได้คนพอแล้ว มาวันนี้ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังคงสนับสนุนให้ต่อต้านรัสเซียมากกว่ายอมเจรจา แต่แน่นอนว่าเหมือนกับสงครามทุกๆครั้ง คนที่มีโอกาสน้อยกว่าทางสังคมย่อมเป็นผู้แบกรับชะตากรรม”

...

จากการใช้ชีวิตกับทหารกองพันที่ 28 ที่ตั้งมั่นอยู่บริเวณแนวป่าและดงดอกทานตะวันทางตอนใต้ของเมืองปราการ “บาคห์มุท” ในจังหวัดโดเนตสก์ก็ปรากฏภาพเช่นนั้น สมาชิกส่วนใหญ่ในหน่วยรบมาจากระดับกรรมาชีพ ชาวนา ช่างไม้ ช่างประปา คนแบกของ ทหารรายหนึ่งกล่าวว่า “ในช่วงต้นสงครามยังพอที่จะเจอตัวคนฐานะดี ชนชั้นสูงบ้าง แต่หลังจากผ่านไป 1 ปี ก็อย่างที่เห็น อัตราการตายมันสูง เหนื่อยล้ากัน หมด และทางการก็ใช้วิธีบังคับเกณฑ์ทหาร แต่แน่นอนก็มีเสียงลือกันเยอะอยู่ว่าคนที่รอดคือมีเส้นสาย หรือมีเงินจ่ายใต้โต๊ะ”

ด้วยสัดส่วนของทหารเกณฑ์ไร้ประสบการณ์ที่มากขึ้นทุกขณะ ทำให้ภาระตกอยู่กับ “นายทหาร” หนักขึ้น อย่างนายร้อยรายหนึ่งนามว่า โวลุนยากา วัย 30 ปี รูปร่างสมาร์ทแบบนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ที่ต้องรับผิดชอบทั้งหน่วยต่อต้านรถถัง (ดูแลพลทหารนามว่า คาบัน และ คาเด็ท ที่ทีมงานได้มีโอกาสคลุกคลีด้วยในหลุมเพลาะ) และหน่วยยานพาหนะ ซึ่งปัจจุบันนี้เหลือยานเกราะอยู่เพียงคันเดียว ที่เหลือถูกปืนใหญ่ยิงทำลายไปจนหมด

รถคันที่รอดตายเป็นยานเกราะรุ่น “BMP” จากยุคสหภาพโซเวียต ติดปืนกลและปืนใหญ่ 73 มม. กันกระสุนได้แต่ก็ไม่เท่ารถถัง แต่ในหน่วยรบจะเรียกขานกันว่า “โลงศพเหล็ก” ครั้งหนึ่งตอนเรียกเคลื่อนพล ทหารวัย 19 ปี ชื่อรหัสว่าคาเด็ท ถึงกับผงะ และ กระซิบบอกว่า “เคยเห็นหลายคนถูกเผาตายทั้งเป็นอยู่ในรถ แค่โดนจรวดอาร์พีจีลูกเดียว หรือโดนปืนครกจังๆก็เรียบร้อย”

ในทุกๆวัน โวลุนยากาจะบัญชาการยานเกราะ ดังกล่าวขับไปยังหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากแนวประจันหน้ากับกองทัพรัสเซีย หรือที่เรียกว่า ซีโร่–ไลน์ และทำการยิงปืนใหญ่ประจำรถใส่แนวตั้งมั่นของรัสเซียประมาณ 15-20 ครั้ง วันนึงขับไปยิงสองครั้ง แต่จะไม่แหลมไปแนวหน้าเด็ดขาด เนื่องจากจะกลายเป็นเป้าอย่างดี จากการที่ทีมงานได้นั่งติดยานเกราะไปด้วย ทำให้ได้รู้จักกับพลขับนามว่า ดาร์วิน เป็นหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับคาเด็ท เจ้าตัวเล่าว่า เป็นคนเมืองเคียร์ซอนและอพยพออกจากเมืองตอนที่รัสเซียบุกยึด ก่อนเข้าร่วมกับกองทัพยูเครน

ทั้งโวลุนยากาและดาร์วินก็เหมือนกับทหารในหน่วยอื่นๆ ที่ไม่เคยได้มีโอกาสฝึกฝนใช้อาวุธ ยุทโธปกรณ์ ต้องเรียนรู้เอาเองจากอินเตอร์เน็ต ดาร์วินเล่าว่า ยังดีที่มีอินเตอร์เน็ตให้ แต่ขณะเดียว กันก็เหมือนดาบสองคม ล่าสุดเราต้องยกเลิกกำหนดการเข้าโจมตี เนื่องด้วยทหารใหม่รายหนึ่งไปโพสต์วิดีโอลงโซเชียลประกาศว่ากำลังจะบุก ซึ่งตอนที่นายทหารสั่งให้ลบก็มีผู้เข้าชมไปแล้วกว่า 11,000 ครั้ง

เช้าวันรุ่งขึ้นผู้สื่อข่าวและช่างภาพตัดสินใจเดินทางไปยังหมู่บ้านร้างหลังแนวรบ ซึ่งเป็นจุดของหน่วยพยาบาล “เสนารักษ์” ที่นั่นเราได้พบทหารนามว่า คิริลโล ชายวัยกลางคน อดีตคนขับรถแทรกเตอร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นพลขับรถหุ้มเกราะ M–113 ของอเมริกันในสมัยสงครามเวียดนาม เจ้าตัวพูดด้วยเสียงติดอ่างอธิบายว่า เอาไว้รับคนเจ็บ ทางกองทัพไม่ได้ให้คู่มือมาหรอก แต่ผมขับได้ทุกอย่าง ขอให้มีแค่เครื่องยนต์ก็เพียงพอ

ขณะที่ผู้หญิงคนเดียวที่เราพบเห็นคือ พยาบาลยศจ่านามว่า ลีโอโนรา อายุ 47 ปี เธอเล่าเรื่องราวให้เราฟังว่า เป็นพยาบาลในห้องฉุกเฉินมานานกว่า 10 ปี ก่อนเข้าร่วมกับกองทัพเมื่อปี 2562 ปัจจุบันอยู่ตัวคนเดียว สามีย้ายไปอยู่ฝรั่งเศส ทีมข่าวได้แซวเล่นกับเธอว่า นี่ผมเป็นสีเงินหมดแล้วอายุแค่นี้เอง เธอเอื้อมมือไปจับผมและตอบเรากลับว่า ไม่สังเกตเลย ชินแล้วล่ะ

...

ระหว่างการสนทนา เสียงวิทยุสื่อสารก็ดังขึ้น “ขอหน่วยพยาบาลมาย้ายผู้บาดเจ็บที่จุดท่าเรือด้านล่าง” หมายถึงชื่อรหัสของตำแหน่งหลุมเพลาะ สมาชิกรายหนึ่งถึงกับสบถขึ้นทันที บ้าเอ้ย จุดนั้นอันตรายมาก แต่แน่นอนเหมือนเครื่องจักรที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ คิริลโลได้สตาร์ตรถหุ้มเกราะรอไว้เรียบร้อย ทีมเราได้กระโดดขึ้นรถขอไปด้วยทันที ตามมาด้วยลีโอโนราที่จัดการตระเตรียมเปลหาม บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด ลีโอโนรานั่งหลับตาและหายใจเข้าลึกๆไปตลอดทางและเบิกตาขึ้นมาทันทีที่รถหุ้มเกราะจอดสนิท

“เรามาถึงจุดนัดพบแล้ว” ลีโอโนราพูดผ่านวิทยุก่อนโผล่ศีรษะออกจากรถหุ้มเกราะเพื่อดูสถานการณ์และก้มหลบอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงกรีดลมของกลุ่มกระสุนปืนฝ่ายรัสเซียที่โฉบผ่านไปในระยะกระชั้นชิด ***เอ้ย แม่*** ลีโอโนราสบถอย่างรุนแรง ตะคอกใส่วิทยุย้ำไปอีกครั้งด้วยประโยคเดิม ขณะที่คิริลโลทำการขยับรถเปลี่ยนตำแหน่งอย่างเร่งด่วนตามด้วยเสียงเฟี้ยวของจรวดอาร์พีจี พร้อมตะโกนย้ำๆให้คนในรถได้ยิน “โดรนอยู่เหนือหัวเรา!” เอาไงดี เปิดประตูหลังไว้หรือไม่ ทำให้ลีโอโนราตอบกลับไป ไม่ต้องเดี๋ยวกระสุนแฉลบเข้ามา

เหตุการณ์ครั้งนั้น ผลปรากฏว่า ทหารที่ได้รับบาดเจ็บอยู่อีกจุดหนึ่ง คิริลโลต้องขับรถต่อไปอีก และตอนที่ไปรับก็พบว่าเป็นกลุ่มทหารที่บาดเจ็บจากระเบิดมือขณะเข้าตีหลุมเพลาะฝ่ายรัสเซีย แต่ได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว เพียงแค่พากลับโรงพยาบาลสนามก็พอ การเดินทางขากลับเต็มไปด้วยความเงียบสงัด ซึ่งพอคิริลโลดับเครื่องยนต์ เราได้สอบถามลีโอโนราว่า ตอนที่นั่งนิ่งๆกำลังสวดมนต์อยู่หรือ เธอให้คำตอบว่าเปล่าเลย ตอนนั้นพยายามนั่งจินตนาการ นึกภาพคนเจ็บในรูปแบบต่างๆ เพื่อลงมือปฐมพยาบาล หวังเพิ่มโอกาสให้เขารอดชีวิต ก่อนบอกลาทีมงานเราขอตัวไปสูบบุหรี่และนั่งรอฟังคำสั่งครั้งต่อไป

...

ไม่กี่วันหลังจากนั้น เราได้ร่ำลากองพันที่ 28 เดินทางออกจากที่มั่นด้วยยานเกราะบีเอ็มพี เพื่อกลับไปพักฟื้นที่เมืองแห่งหนึ่งหลังแนวรบ ระหว่างทางทีมข่าวเห็นหญิงชรารายหนึ่งถือไม้เท้าเดินอยู่ริมถนน ซึ่งเมื่อรถกำลังแล่นผ่านไป เธอได้ทำมือสัญลักษณ์กางเขนสวดภาวนาให้กับเรา ถือเป็นภาพที่แปลกตานักเมื่อเทียบกับที่อื่นๆในยูเครนที่คนส่วนใหญ่มักจะชูกำปั้น ไม่ก็โบกมือหรือตะโกนเชียร์ ผู้สื่อข่าวถามกับ โวลุน ยากา ที่นั่งติดรถมาด้วยว่าทำไมคนที่นี่ต่างกับที่อื่น ไม่สวดมนต์ให้เราก็หลบตา?

นายทหารยูเครนวัย 30 ปี ตอบกลับด้วยเสียงราบเรียบ “เกือบทุกคนที่นี่โปรรัสเซียทั้งนั้น พวกเขาไม่ต้องการเรา” อ้าว แล้วชาว บ้านไม่เป็นมิตรแบบนี้ มันไม่กระทบขวัญกำลังใจหรือ...โวลุนยากาส่ายหน้าและพูดสั้นๆว่า “ผมรู้ที่นี่เป็นดินแดนของผม ทำไมผมต้องไปแคร์ด้วยว่าพวกเขาคิดเห็นกันเช่นไร”.

วีรพจน์ อินทรพันธ์