ใกล้หมดไตรมาสแรกของปี 2566 อุตสาหกรรมบันเทิงทั่วโลกกลับมาคึกคักใกล้ระดับก่อนการระบาดใหญ่ของโควิด-19 แวดวงละครบรอดเวย์ในนครนิวยอร์ก ของสหรัฐอเมริกา ก็ร้อนแรงไม่แพ้ธุรกิจบันเทิงประเภทไหน มีโชว์มากมายต่อคิวให้ความบันเทิงอย่างเต็มอิ่มไม่ว่าจะเป็น “แบด ซินเดอเรลลา” (Bad Cinderella), “ไลฟ์ ออฟ พาย” (Life of Pi) รวมถึง “สวีนนีย์ ท็อดด์” (Sweeney Todd) เป็นต้นแต่ละครที่ยังเปี่ยมมนตร์ขลังไม่เสื่อมคลาย เรียกผู้ชมได้อย่างเนืองแน่น เป็นสุดยอดละครเพลงอย่าง “แฟนธอม ออฟ ดิ โอเปรา” (Phantom of the Opera) ผลงานของแอนดรูว์ ลอยด์ เว็บเบอร์ จากนวนิยายดังของกัสตง เลอรูซ์ นักเขียนชาวฝรั่งเศส เล่าเรื่องราวความรักสามเส้าสุดคลาสสิกระหว่าง “แฟนธอม” ชายที่มีใบหน้าเสียโฉมผู้ได้ชื่อว่าเป็นปิศาจแห่งโรงละคร กับ “คริสทีน ดาเอ” นักร้องสาวสวยแห่งโรงอุปรากร ลูกศิษย์ของแฟนธอม และราอูล ชายหนุ่มรูปหล่อผู้อุปถัมภ์โรงละครคนใหม่ เพื่อนสมัยเด็กของคริสทีน ที่สุดท้ายจบลงด้วยความเศร้าเป็นโศกนาฏกรรมรักที่ซาบซึ้งตรึงใจผู้คนทั่วโลกนอกจากจะเป็นละครที่เปิดการแสดงยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์บรอดเวย์มาตั้งแต่ปี 2531 ยังคว้ารางวัลมามากมาย ที่สำคัญ “แฟนธอม ออฟ ดิ โอเปรา” ยังทำรายได้สูงสุดใน 35 ปี ประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 19 มี.ค. ทำรายได้ไปเกิน 3,029,826 ล้านดอลลาร์ หรือราว 104 ล้านบาท จากการแสดง 8 รอบ เป็นครั้งแรกที่ทำรายได้มากกว่า 3 ล้านดอลลาร์ ภายใน 1 สัปดาห์ เพิ่มขึ้น 11% จากสัปดาห์ก่อนหน้า จะว่าไปก็ละครเรื่องนี้มียอดขายตั๋วเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับแต่ประกาศในเดือน พ.ย. ว่าเตรียมปิดม่านยุติการแสดงในวันที่ 16 เม.ย.นี้ (ขยายระยะเวลาจากเดิมในวันที่ 18 ก.พ.) นอกจากนี้อาจมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าราคาตั๋วเข้าชมละครเรื่องนี้สูงกว่าเรื่องอื่นๆโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 232 ดอลลาร์ หรือ 8,000 บาท ส่วนตั๋วราคาพรีเมียมสูงสุดยังพุ่งถึง 597 ดอลลาร์ หรือราว 20,000 บาทแฟนๆอาจมีโอกาสเคยได้ชมละครเรื่องนี้เมื่อครั้งมาเปิดการแสดงในกรุงเทพฯ เมื่อหลายปีก่อน แต่หากอยากดื่มด่ำเพลิดเพลินกับละครเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายในนครนิวยอร์กที่มี “เบน ครอว์ฟอร์ด” รับบท แฟนธอม และ “เอมิลี โคตโชว์” เป็นนักแสดงผิวสีคนแรกที่รับบทคริสทีน ยังสามารถจับจองหาซื้อตั๋วเข้าชมได้ถึงรอบวันที่ 15 เม.ย.นี้เท่านั้น เนื่องจากการแสดงครั้งสุดท้ายที่โรงละครมาเจสติกในวันอาทิตย์ที่ 16 เม.ย.ไม่เปิดจำหน่ายแก่สาธารณชน.