หลังพยายามเกลี้ยกล่อมกันมานานกว่า 2 เดือน ในที่สุดสหประชาชาติและรัฐบาลตุรกีก็บรรลุผลการเจรจาให้ยูเครนและรัสเซียร่วมลงนามข้อตกลงส่งออกข้าวยูเครนที่ค้างอยู่ตามท่าเรือมากกว่า 20 ล้านตันสู่ตลาดโลกตามเดิม เพื่อคลี่คลายความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤติการณ์อาหารโลกขาดแคลน โดยตัวแทนยูเครน รัสเซีย ตุรกี และสหประชาชาติได้ร่วมลงนาม 4 ฝ่ายอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 22 ก.ค.ทั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานอ้างการเปิดเผยของทำเนียบประธานาธิบดีตุรกีว่า การเจรจา 4 ฝ่ายรอบล่าสุดที่นครอิสตันบูล ซึ่งเริ่มตั้งแต่สัปดาห์ก่อนนั้น มีกำหนดลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรในวันที่ 22 ก.ค. แต่รายละเอียดของข้อตกลงยังไม่ได้รับการเปิดเผย อย่างไรก็ตาม ก่อนการเจรจาแหล่งข่าวในรัฐบาลตุรกีระบุว่า ข้อตกลงจะรวมถึงเงื่อนไขเช่น เรือของยูเครนจะทำหน้าที่นำทางเรือสินค้าแล่นผ่านดงกับระเบิดที่กองทัพยูเครนวางไว้เพื่อป้องกันรัสเซียยกพลขึ้นบก กองทัพเรือรัสเซียจะหยุดยิงในช่วงที่เรือกำลังขนสินค้านอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตุรกีและสหประชาชาติจะดำเนินการเข้าตรวจสอบเรือสินค้าเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการลักลอบขนอาวุธตามที่รัสเซียกังวล โดยการลงนามครั้งนี้ยังมีนายเรเจป ทายยิป เออร์โดอัน ประธานาธิบดีตุรกี และนายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ร่วมเป็นสักขีพยานสำหรับความคืบหน้าการสู้รบในยูเครน กองทัพรัสเซียยังคงทดสอบแนวตั้งรับของยูเครนในจังหวัดโดเนตสก์ แต่ไม่มีรายงานการชิงดินแดน ขณะที่สื่อท้องถิ่นรัสเซียระบุว่า การรุกขั้นต่อไปคือ การโจมตีจากจังหวัดลูฮานสก์ เฟสแรกคือ การทลายแนวตั้งรับเมืองซีเวียร์สและเมืองบาคห์มุตด้านกองทัพยูเครนประเมินว่า กองทัพรัสเซียอาจใช้อาวุธนำวิถีไปแล้วอย่างน้อย 55-60 เปอร์เซ็นต์ จากที่มีอยู่ในช่วงก่อนสงคราม เช่นเดียวกับรายงานของกระทรวงกลาโหมอังกฤษที่ระบุว่า กองทัพรัสเซียเริ่มนำอาวุธต่อต้านอากาศยานอย่างขีปนาวุธเอส-300 และเอส-400 มาใช้โจมตีเป้าหมายภาคพื้นดิน แต่แน่นอนว่าจะมีประสิทธิภาพต่ำ เนื่องจากเป็นอาวุธสำหรับทำลายเป้าขนาดเล็กอย่างเครื่องบินหรือจรวด ไม่สามารถทะลวงบังเกอร์ได้ก่อนหน้านี้ นายเบน วอลเลซ รมว.กลาโหมอังกฤษ ประกาศส่งอาวุธให้กองทัพยูเครนเพิ่มเติม ซึ่งลอตนี้รวมถึงจรวดต่อต้านรถถัง 1,600 ชุด เรดาร์ตรวจจับวิถีปืนใหญ่ โดรนหลายร้อยลำ และกระสุนกว่า 50,000 นัด.