สงครามรัสเซีย-ยูเครนยังคงยืดเยื้อดำเนินต่อไปเข้าสู่เดือนที่ 5 อย่างเขม็งเกลียวหนักขึ้น หลังกองทัพรัสเซียปรับเกมมุ่งโจมตี “ภูมิภาคดอนบัสทางภาคตะวันออกของยูเครน” จนสามารถควบคุมแคว้นลูฮานสก์ได้สำเร็จ และยังเดินหน้าโจมตีแคว้นโดเนตสก์ที่อยู่ใกล้กันต่อเนื่องเพื่อหวังเข้ายึดครองอีกเพราะด้วย 2 แคว้นนี้มีความสำคัญต่อ “รัสเซีย” ในแง่ยุทธศาสตร์มีการเคลื่อนไหวกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ถูกมองเป็นตัวแทนรัสเซียในยูเครน ในส่วนแง่เศรษฐกิจก็เป็นแหล่งอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินขนาดใหญ่ทำให้ “รัสเซีย” มีเป้าหมายโจมตีลูฮานสก์และโดเนตสก์ เพื่อยึดครองเชื่อมต่อเข้ากับโอเดสซา มิโคลายีฟ เคอร์ซอน ไครเมีย ผนวกรวมดินแดนเป็นส่วนหนึ่งของประเทศให้เป็นศูนย์กลางทางทหาร และการค้าที่สำคัญ ดร.กฤษฎา พรหมเวค คณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ม.รามคำแหง วิเคราะห์ว่า ดร.กฤษฎา พรหมเวคนับแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา “รัสเซีย” ประกาศความสำเร็จในการเข้ายึดลูฮานสก์ได้ทั้งหมด แล้วกำลังเคลื่อนเข้าโจมตีพื้นที่ใกล้เคียงอย่างโดเนตสก์ยึดพื้นที่ได้ราว 50% เพราะด้วย 2 แคว้นนี้มีประชากรพูดภาษารัสเซียเป็นหลัก เหตุนี้รัสเซียจึงต้องการปลดปล่อยให้เป็นสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์ และสาธารณรัฐประชาชนลูฮานสก์แล้วมีเป้าหมายเพื่อการเชื่อมต่อไปยังมาริอูโปล แคร์ซอน ไครเมีย โดยเฉพาะโอเดสซาเมืองท่าทางภาคใต้ของยูเครน ที่กองทัพรัสเซียพยายามเข้าโจมตีอย่างหนักอยู่ขณะนี้ แต่ว่า “โอเดสซา” ค่อนข้างมีปัญหาอุปสรรคเพราะยูเครนได้วางทุ่นระเบิดทิ้งไว้ เพื่อขัดขวางมิให้เรือบรรทุกสินค้าสามารถส่งออกธัญพืชไปยังดินแดนแห่งอื่นได้อันเป็นหลักประกันต่อ “ยุโรปและสหรัฐอเมริกา” ลักษณะบีบให้เจอกับสภาวะขาดแคลนอาหาร เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองขอความช่วยเหลือด้านอื่นๆ เพราะอย่าลืมว่ายูเครนและรัสเซียเป็นตะกร้าขนมปังของยุโรป ที่เป็นฐานผลิตข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ และเมล็ดทานตะวันในการผลิตน้ำมันส่งออกไปหล่อเลี้ยงคนยุโรป ดังนั้น ตอนนี้ “ยุทธศาสตร์ของรัสเซีย” มุ่งทุ่มสรรพกำลังทางทหารเร่งยึดโดเนตสก์ปลดปล่อยให้เป็นเอกราชไปก่อน “อันมีแผนให้เป็นศูนย์กลางทางทหาร รวมถึงเป็นเมืองอุตสาหกรรมเหมืองแร่ และการเพาะปลูกที่สำคัญ” แล้วก็เชื่อว่ารัสเซียน่าจะสามารถควบคุมโดเนตสก์ได้ทั้งแคว้นในเร็วๆนี้ด้วยกองกำลังหลักของยูเครนคงรักษากรุงเคียฟเมืองหลวงไว้ จนไม่สามารถแบ่งทหารมาช่วยพื้นที่ที่รัสเซียกำลังเข้ายึดได้ “ยิ่งกว่านั้นทหารยูเครนเริ่มถดถอยน้อยลง” แม้ว่าชาติตะวันตกได้ส่งอาวุธมาให้แต่ก็มิได้ส่งทหารมาช่วย ทำให้ยูเครนขาดกำลังรบจนต้องออกกฤษฎีกาเกณฑ์ผู้หญิง และผู้สูงอายุเข้ามาเป็นอาสาฝึกสู้รบด้วยซ้ำปัญหามีว่า “ทหารถูกเกณฑ์มานี้เจอสนามรบมักไปไม่รอด” บวกกับอาวุธของยูเครนเองก็ด้อยกว่าอาวุธรัสเซียมาก ฉะนั้นโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ควรหันมาเจรจากับรัสเซียเพื่อยุติสงครามครั้งนี้ ส่วนสาเหตุยูเครนยังไม่ยอมเจรจา ส่วนหนึ่งอาจมาจากโดนลูกยุยงจากสหรัฐฯและนาโตที่เคยเสนอว่าจะให้การสนับสนุนช่วยเหลือแก่ยูเครน แต่พอรัสเซียเปิดฉากบุกจริงกลับถูกปล่อยให้สู้อย่างลำพังไม่เป็นตามที่พูดไว้เช่นเดียวกัน “ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย” ก็ได้ลงนามในกฤษฎีกาฉบับใหม่ โดยอนุมัติให้ชาวยูเครนทุกคนสามารถยื่นเรื่องขอสัญชาติรัสเซียได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เช่นกัน ทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในโดเนตสก์ ลูฮานสก์ ต่างพากันออกมายื่นขอสัญชาติรัสเซียกันเป็นจำนวนมากด้วยซ้ำโดยเฉพาะ “เคอร์ซอน” ที่กำลังจะลงมติเข้าร่วมกับรัสเซียในเร็วๆนี้ แม้แต่ “มิโคลายีฟ” ต่างก็ประสงค์ให้รัสเซียเข้ามาปกครองเช่นกัน เพราะเคยถูกกดขี่มาตั้งแต่ปี 2012 จากการเดินขบวนในยูเครนที่เรียกว่า “ยูโรไมดาน” เหตุการณ์คนรัสเซียอาศัยในยูเครนเลือกประธานาธิบดีฝ่ายรัสเซีย แต่ถูกผู้สนับสนุนฝ่ายตะวันตกโค่นล้มไปผลคือคนรัสเซียในโดเนตสก์ ลูฮานสก์ เคอร์ซอน มิโคลายีฟ ต้องถูกกดขี่อย่างหนักจนอยากมาอยู่รวมกับรัสเซียเต็มที่ด้วยซ้ำ ทำให้เป้าหมายการโจมตีของรัสเซียครั้งนี้มิได้มุ่งหวัง “ยึดกรุงเคียฟ” เพราะพลเมืองหลักไม่เอาด้วยกับรัสเซีย หากยึดครองไปก็ไม่อาจปกครองได้ ฉะนั้น รัสเซียต้องการควบคุมเมืองที่สนับสนุนเขาเป็นหลักมากกว่าประเด็น “ชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 กำลังจะเริ่มขึ้นนั้น” มาจากกรณีลิทัวเนียหนึ่งในสมาชิกนาโตสั่งปิดเส้นทางระหว่างแผ่นดินใหญ่รัสเซีย-คาลินินกราด อ้างเป็นมาตรการคว่ำบาตรสหภาพยุโรป ทำให้บรรดาสินค้ารัสเซียที่เคยส่งไปขายในคาลินินกราดไม่สามารถขนส่งลำเลียงไปได้ดังเดิม จนสร้างความไม่พอใจให้รัสเซียอย่างมากหากย้อนดู “สมัยสหภาพโซเวียต” ดินแดนลิทัวเนีย รัสเซีย คาลินินกราดถูกผนวกเป็นแผ่นดินเดียวเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย “รัสเซียยกคาลินินกราดให้ลิทัวเนีย” แต่ไม่ยอมรับอ้างว่ามีคนสัญชาติรัสเซียอยู่เยอะต่อมาทำให้ “รัสเซีย” คงกำลังทหารไว้ใน “คาลินินกราด” จนเป็นดินแดนของรัสเซียแยกออกจากแผ่นดินใหญ่ “ตั้งอยู่ใจกลางยุโรป” อันมีชายแดน ติดกับโปแลนด์และลิทัวเนีย จนกลายเป็นหอกข้างแคร่ให้ยุโรป เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของ “รัสเซีย” ที่มีการเคลื่อนย้ายกองกำลังนิวเคลียร์ตั้งแต่เริ่มโจมตียูเครนแล้วดินแดนแห่งนี้เป็นยุทธศาสตร์ที่มีฐานทัพเรือ และฐานยิงขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ของรัสเซีย ในการใช้เป็นเครื่องมือความมั่นคงคานอำนาจยุโรปมาตลอด แล้วที่ผ่านมาการเดินทางขนส่งสินค้าจากรัสเซียต้องผ่านเบลารุสเข้า ช่องแคบสุวาลกิอันเป็นแผ่นดินทางลิทัวเนียกับโปแลนด์ก่อนเข้าคาลินินกราดไปได้ แล้วอยู่ดีๆ “ลิทัวเนีย” ก็ตัดสินใจปิดกั้นเส้นทางติดต่อทั้งทางถนนทางรถไฟระหว่างรัสเซียกับดินแดนนี้ สร้างความไม่พอใจให้รัสเซียอย่างมากเพียงแต่ว่า “รัสเซีย” ยังไม่อยากเปิดศึก 2 ด้าน เพราะลิทัวเนียหนึ่งในสมาชิกนาโตอาจเป็นเงื่อนไขข้ออ้างตาม “มาตรา 5” ประเทศสมาชิกใดถูกโจมตีกองกำลังนาโตสามารถร่วมตอบโต้ได้ถ้าสมมติว่า “เปิดศึก 2 ด้านโจมตีลิทัวเนีย” ก็มองว่ารัสเซียน่าจะมีศักยภาพพร้อมสู้รบอยู่แล้ว นั่นก็หมายความว่า “นาโตจะเข้ามาแทรกแซง” จนมีโอกาสลุกลามกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ตามมาแน่นอน“อย่าลืมประเทศทั่วโลกได้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันชัดเจน ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างลิทัวเนีย-รัสเซียจะก่อเกิดเป็นสงครามนั้นมิได้ขึ้นอยู่กับ 2 ประเทศนี้ แต่มีตัวแปรสำคัญจากประเทศที่ 3 เข้ามาแทรกแซงกลายเป็นชนวนก่อเกิดสงครามโลกได้ ดังนั้น ทุกคนคงได้แต่ภาวนาให้ความขัดแย้งนี้คลี่คลายไปด้วยดี” ดร.กฤษฎาว่าย้อนกลับมาที่ “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” ตอนนี้สถานการณ์ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อต่อไปอีก เพราะท่าทีประธานาธิบดีปูตินได้ปรับกลยุทธ์การตอบโต้ประเทศที่มีการคว่ำบาตรรัสเซีย ด้วยการบีบให้ต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจ เพื่อกดดันให้ประชาชนประเทศนั้นออกมาต่อต้านขับไล่ล้มรัฐบาลนำไปสู่การเปลี่ยนขั้วอำนาจใหม่ขึ้นสังเกตง่ายๆ อย่างเช่น ฝรั่งเศสผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเร็วๆนี้ “เอ็มมานูเอล มาครง” ก็พ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งสมัชชาแห่งชาติ อีกทั้งยังมี “นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ เอสโตเนีย อิตาลี บัลแกเรีย” ก็ล้วนถูกพลเมืองในประเทศกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง และหลายประเทศในยุโรปเริ่มมีเหตุการณ์ประท้วงขึ้นมากมาย เรื่องนี้เป็นเป้าหมายของ “ปูติน” ที่ต้องการโจมตีในประเทศที่มีรัฐบาลสนับสนุนสหรัฐฯ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนรัฐบาลชุดใหม่ “ไม่ฝักใฝ่สหรัฐฯ” อันเป็นการหยุดยั้งการสนับสนุนสงครามยูเครน-รัสเซีย แล้วยิ่งใกล้ถึงฤดูหนาว “รัสเซีย” ก็อาจตอบโต้ประเทศคว่ำบาตรด้วยการปิดท่อก๊าซธรรมชาติและอื่นๆ โดยไม่ส่งให้ยุโรปก็เป็นไปได้ทำให้ขาดแคลนน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ อาหาร และสิ่งของจำเป็น จนกระทบประชาชนต้องเดือดร้อนออกมาเดินขบวนขับไล่ผู้นำสนับสนุนสหรัฐฯ ก็ได้ ส่วนประเทศพันธมิตรก็ยังคงค้าขายกับรัสเซียได้เป็นปกติเช่นเดิมดังนั้น “ประเทศไทยอาจต้องรักษาความเป็นกลาง” ไม่มีท่าทีฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกนอกหน้ามากเกินไป เพราะสิ่งเหล่านี้มักมีผลย้อนหลังกลับมากระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคตไม่มากก็น้อยย้ำความขัดแย้งรัสเซีย–ยูเครนคงยืดเยื้ออีกนาน “ประเทศไทย” ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อมีแผนรับมือทั้งประเด็นการเมืองระหว่างประเทศ และผลกระทบทางเศรษฐกิจแล้วก็หวังว่า “คงไม่เลวร้ายกลายเป็นสงครามโลก” เพราะเมื่อถึงวันนั้นโลกทั้งใบจะรับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.