บรรยากาศการเมืองโลกเข้มข้นควบคู่ไปกับสงครามยูเครน-รัสเซีย ที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ จัดการลงมติระงับสถานะสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) จากกรณีเหตุเมืองบูชา ชานกรุงเคียฟ ที่รัฐบาลยูเครนอ้างว่า มีพลเรือนจำนวนมากถูกกองทัพรัสเซียสังหารอย่างโหดเหี้ยม
แม้กระบวนการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงยังไม่เริ่มต้น แต่สหรัฐฯและชาติตะวันตกได้ผลักดันให้มีการลงมติดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อย มีชาติสนับสนุนให้ระงับสมาชิกสภาพของรัสเซีย 93 ประเทศ งดออกเสียง 58 ประเทศ และคัดค้าน 24 ประเทศ โดยชาติสมาชิกอาเซียนที่สนับสนุนมติดังกล่าวคือฟิลิปปินส์และเมียนมา ขณะที่บรูไน กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และประเทศไทยงดออกเสียง ส่วน สปป.ลาวและเวียดนาม คัดค้าน ซึ่งเป็นการลงมติคัดค้านเช่นเดียวกับจีน รัสเซีย
อย่างไรก็ตาม หลังการลงมติเป็นที่เรียบร้อย นายเกนนาดี คุซมิน อัครราชทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติ ได้กล่าวว่า เป็นกระบวนการที่เกิดจากแรงขับเคลื่อนทางการเมืองที่ไร้ความชอบธรรม และรัสเซียตัดสินใจขอลาออกจากการเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน ขณะที่ตัวแทนยูเครนวิจารณ์ว่า มีใครลาออกหลังถูกไล่ออกกันบ้าง สำนักข่าวต่างประเทศระบุด้วยว่า รัฐบาลสหรัฐฯสมัยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยลาออกจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติเมื่อปี 2561 แต่ได้รับคะแนนลงมติสนับสนุนกลับเข้าเป็นสมาชิกเมื่อปี 2564 สำหรับคณะมนตรีดังกล่าว ไม่มีอำนาจผูกมัดทางกฎหมาย แต่สามารถสั่งเปิดการสอบสวนเหตุการณ์ที่เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศต่างๆ พร้อมออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนในเชิงการเมือง
สำหรับสถานการณ์การรบในยูเครนเมื่อวันที่ 8 เม.ย. ข้อมูลข่าวกรองของรัสเซียรายงานว่า กองทัพยูเครนได้ส่งกำลังพลเข้าไปในแนวรบตะวันออก-ตะวันออกเฉียงเหนืออย่างต่อเนื่อง เพื่อตั้งรับการบุกของรัสเซีย ที่พยายามตีทะลวงจากเมืองอิซยูม มุ่งหน้าลงใต้เพื่อบรรจบกับหน่วยรบในจังหวัดโดเนตสก์ แต่การโจมตีของรัสเซียค่อนข้างยากลำบาก เนื่องจากยูเครนใช้โรงเรียนเป็นจุดรวมพล โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองครามาทอสสก์ ซึ่งรัสเซียเพิ่งใช้ขีปนาวุธโจมตีสถานีรถไฟ หลังตรวจสอบพบว่าเป็นคลังเก็บอาวุธและยุทโธปกรณ์
...
ขณะที่รัฐบาลยูเครน เผยว่า การโจมตีสถานีรถไฟมุ่งเป้าสังหารพลเรือน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 39 คน บาดเจ็บ 87 คน และอาจเพิ่มขึ้น
ก่อนหน้านี้นายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซีย กล่าวว่า ปฏิบัติการทหารในยูเครนอาจจบในเร็ววัน จากการที่กองทัพรัสเซียบรรลุเป้าหมายทางการทหาร หรือบรรลุข้อตกลงผ่านการเจรจา.