สงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลของสาธารณรัฐจีนกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนดำเนินอยู่หลายปี เจียงไคเช็กจากพรรคกว๋อหมินตั่ง (ก๊กมินตั๋ง) ควบคุมเมืองใหญ่และเมืองเล็กได้เป็นจำนวนมาก แต่จุดอ่อนของกว๋อหมินตั่งก็คือไม่ได้ใจของประชาชนคนชนบท

สหรัฐฯทุ่มอาวุธให้เจียงไคเช็กไม่อั้น แต่ก็ยังรบแพ้กองทัพคอมมิวนิสต์ สุดท้ายเจียงไคเช็กต้องลาออกจากประธานาธิบดีและให้หลี่ซ่งเหรินเป็นประธานาธิบดีชั่วคราว กองทัพคอมมิวนิสต์ข้ามแม่น้ำแยงซีและยึดหนานจิงได้เมื่อ 24 เมษายน 1949 เจียงไคเช็กนำทหารและพลเรือนรวมทั้งสมบัติล้ำค่าของจีนหนีไปลงหลักปักฐานบนเกาะไต้หวัน

ถึงไต้หวันแล้ว เจียงไคเช็กก็กลับมาเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐจีนอีกรอบ แต่รอบนี้มีพื้นที่ในปกครองเพียง 3.6 หมื่นตารางกิโลเมตร ส่วนพื้นที่ 9.5 ล้านตารางกิโลเมตรบนแผ่นดินใหญ่ต้องยกให้คอมมิวนิสต์จีนปกครองโดยใช้ชื่อใหม่ว่าสาธารณรัฐประชาชนจีน

เมื่อต้องทิ้งแผ่นดินใหญ่มาอยู่เกาะขนาดเล็ก สหรัฐฯก็ทำท่าว่าจะทิ้งไต้หวัน ไม่ให้ความช่วยเหลืออีกเลยจนกระทั่งมีสงครามเกาหลี ค.ศ. 1950 จีนแดงส่งทหารไปช่วยเกาหลีเหนือรบ สหรัฐฯช่วยเกาหลีใต้และเลยมาช่วยจนถึงไต้หวัน มาปรับปรุงอาวุธยุทโธปกรณ์ ปรับปรุงการฝึก ลดกำลังพล ดูแลแผนการทุกอย่างในการที่จะกลับไปยึดจีนแผ่นดินใหญ่คืน

สหรัฐฯลงทุนถึงขนาดยอมลดตัวเป็นผู้จัดกองลาดตระเวนช่องแคบไต้หวันด้วยตนเอง ทุ่มเทอาวุธให้มากมายก่ายกองจนไต้หวันกลายเป็นรัฐทหาร ตอนที่เกิดสงครามเกาหลี สหรัฐฯตั้ง Sino– American Joint Commission of Rural Reconstruction (คณะกรรมาธิการร่วมจีน–สหรัฐฯในการบูรณะชนบท) และสหรัฐฯช่วยไต้หวันผ่านคณะกรรมาธิการร่วมนี้ ค.ศ. 1979 สหรัฐฯยกเลิกสนธิสัญญาร่วมป้องกันและให้สมาชิกสภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายป้องกันไต้หวัน เพื่อสหรัฐฯจะได้มีความชอบธรรมในการช่วยไต้หวันผ่าน “พระราชบัญญัติป้องกันไต้หวัน”

...

จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่ 4 หมื่น ตร.กม. ไต้หวันมีพื้นที่ 3.6 หมื่น ตร.กม. มีพื้นที่น้อยมาก น้อยกว่าเชียงใหม่เสียอีก สหประชาชาติทิ้งไต้หวันและให้สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นสมาชิกเมื่อ ค.ศ. 1971 ตั้งแต่ประธานาธิบดีนิกสันไปเยือนจีนแดงเมื่อ ค.ศ.1972 ความหวังที่พวกกว๋อหมินตั่งจะกลับไปตีเอาแผ่นดินใหญ่คืนมาก็แทบจะเหลือศูนย์

1 ตุลาคม 2564 จีนเริ่มส่งเครื่องบินรบวันละหลายสิบลำเข้าไปในเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศของไต้หวัน ไต้หวันขอให้จีนเลิก “ยั่วยุอย่างไร้ความรับผิดชอบ” กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯตะโกนบอกให้จีนหยุดข่มขู่คุกคามไต้หวัน

ประเด็นจีนและไต้หวันเป็นเรื่องอ่อนไหวสูง การให้ความคิดเห็นประเด็นนี้กับคนจีนไม่ควรทำ แม้จะอยู่ในครอบครัวเดียวกันก็ทะเลาะกันจนบ้านแทบแตก คนจีนถือว่าไต้หวันเป็นดินแดนของตน พ.ศ.2548 ที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับการแบ่งแยกดินแดน มีใจความสำคัญว่า จีนสามารถใช้ “มาตรการที่ไม่สันติ” หากเกิดกรณีการประกาศเอกราชฝ่ายเดียวจากไต้หวัน หมายความว่า “ถ้าไต้หวันประกาศเอกราช จีนมีสิทธิโจมตีด้วยกำลัง” นั่นเอง

จีนไม่อ่อนข้อต่อ “หลักการจีนเดียว” อย่างเด็ดเดี่ยว สมัยทรัมป์เป็นประธานาธิบดี แกล้ำเส้นไปเล่นกับไฟอยู่หลายครั้งจนจีนหงุดหงิด ในยุคไบเดนเป็นผู้นำสหรัฐฯ พวกหน่วยงานของสหรัฐฯก็แหลมออกมาแหย่ประเด็นไต้หวันนี้บ่อยเหมือนกัน

5 ตุลาคม 2564 ประธานาธิบดีไบเดนบอกกับสาธารณะว่าตัวเองมีโอกาสคุยโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงเรื่องสถานการณ์ในช่องแคบไต้หวัน ซึ่งตนเองได้บอกกับประธานาธิบดีสีไปว่า “สหรัฐฯยึดมั่นและจะปฏิบัติตามหลักการจีนเดียว”

ฟังไบเดนบอกกับสีจิ้นผิงและออกมาแจ้งนานาประเทศแล้วก็สบายใจครับ คำพูดของไบเดนทำให้ความร้อนแรงของความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ลดลง ส่วนคนที่โกรธจนหน้าแดงหูแดงก็คือนางไช่อิงเหวิน ประธานาธิบดีไต้หวัน

สหรัฐฯเล่นบทสองหน้า หน้าหนึ่งก็เออออห่อหมกไปกับจีน เพื่อไม่ให้มีความขัดแย้ง อีกหน้าหนึ่งก็ต้องเอาใจไต้หวันเพราะตัวเองหนุนประเทศนี้มาตั้งแต่แรก ตั้งแต่สมัยยังอยู่ในแผ่นดินใหญ่ กระทั่งแพ้สงครามกลางเมืองก็ยังช่วยย้ายผู้คนและทรัพย์สมบัติมาอยู่ที่เกาะไต้หวัน.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com