การโต้เถียงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวาระสุดท้าย ฝ่ายคัดค้านการแก้ไขบางคน “ปลุกผีเผด็จการรัฐสภา” ให้คนกลัว โดยอ้างว่าการเลือกตั้ง ส.ส.ด้วยบัตร 2 ใบ ตามรัฐธรรมนูญ 2540 ทำให้การเมืองไทยกลายเป็นเผด็จการรัฐสภา เนื่องจากบางพรรคชนะเลือกตั้งทุกครั้ง และคุมอำนาจเผด็จการ

หัวหน้าพรรคเล็กหรือพรรคจิ๋ว บางคน อ้างว่าระบอบเผด็จการรัฐสภาในยุครัฐบาลทักษิณ สมัคร และยิ่งลักษณ์ ก่อให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบายอย่างมโหฬาร ส่วนในปัจจุบัน ไม่มีกล้วยที่ไหนให้พรรคเล็ก มีแต่พรรคใหญ่ มีรัฐมนตรีได้เงินทอนจากโครงการต่างๆ นี่คือการยอมรับว่าไม่ว่าจะเลือกตั้งแบบไหนก็มีโกงกิน

ส.ส.ระดับแกนนำของพรรคเพื่อไทยคนหนึ่ง คุยว่าไม่ว่าจะเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวหรือสองใบ พรรคเพื่อไทยก็ชนะ ต้องยอมรับว่าเป็นความจริง เพราะในการเลือกตั้ง 2562 ในระบบแบ่งสันปัน ส่วนผสม ใช้บัตรใบเดียว พรรคเพื่อไทยก็ได้ ส.ส. มากที่สุด แต่ไม่ได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว

ต้องถือว่าเป็นความบกพร่องหรือ ความพิกลพิการของระบบการเลือกตั้งหรือไม่ ที่ผลการเลือกตั้งทำให้ระดับผู้นำพรรค ต้องสอบตกยกชั้น เป็นเจตนารมณ์ของระบบเลือกตั้งหรือไม่ และถ้ามองย้อนกลับไปสู่การเลือกตั้ง 2544 และ 2548 พรรคไทยรักไทยก็เป็นผู้ชนะ แต่ชัยชนะไม่น่าจะเป็นเพราะระบบเลือกตั้งอย่างเดียว

มีปัจจัยอื่นๆอีกมาก ที่ทำให้พรรคไทยรักไทยชนะ เช่น มีผู้นำพรรคมาจากนักธุรกิจระดับมหาเศรษฐี มีฝีมือในการบริหารประเทศ มีนโยบายประชานิยมแบบลดแลกแจกแถม ที่โดนใจประชาชน และมีความสามารถในการ “ดูด” บรรดาส.ส. ที่เด่นดังเข้าพรรค บางครั้ง “ดูด” เข้าทั้งพรรค ส่วนระบบเลือกตั้งเป็นปัจจัยเสริม

รัฐบาลพรรคไทยรักไทย และรัฐบาลที่สืบทอดต่อมา ถูกกล่าวหาเป็น “เผด็จการรัฐสภา” แต่ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศประชาธิปไตย ที่ใช้ระบบรัฐสภาทั่วโลก ระบอบทักษิณไม่ถึงกับเป็นเผด็จการรัฐสภา เพียงแต่เป็นรัฐบาลที่คุมเสียงข้างมากเด็ดขาด แต่มีอีกหลายพรรคได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ที่มากพอจะตรวจสอบถ่วงดุลได้

...

ในยุคนั้น มีพรรคฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง เช่น พรรคประชาธิปัตย์ แม้จะแพ้เลือกตั้ง แต่สามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลได้ อีกทั้งยังมีองค์กรอิสระมากมายเกิดขึ้น ตามรัฐธรรมนูญ 2540 ที่เป็นอิสระและเข้มแข็ง “เผด็จการรัฐสภา” ต้องปกครองพรรคเดียว แบบฮิตเลอร์ หรือคอมมิวนิสต์.