เป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้กลับมาลุกลามอีกครั้ง ในประเทศไทย เพราะย้อนไปก่อนที่จะเกิดคลัสเตอร์ “ทองหล่อ” ก็สังเกตได้อย่างชัดเจนว่าผู้คนเริ่ม “การ์ดตก” กันเป็นจำนวนมาก ไม่ว่า 1.ไม่รักษาระยะห่าง 2.ละเลยการสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งช่วงนั้นก็ประจวบเหมาะพอดี หลังมีข่าวเราได้รับมอบวัคซีน และเริ่มนับหนึ่งกระบวนการฉีดทั่วประเทศ เริ่มจากบุคลากรการแพทย์และผู้สูงอายุ

เป็นที่น่าเสียดายที่คนดูเหมือนเข้าใจผิดกันเยอะมากเรื่อง “วัคซีน” ต้านไวรัสโควิด-19 และอยากจะขอย้ำในที่นี่เลยว่าวัคซีนนั้น ไม่ได้ช่วยป้องกันการ “ติดเชื้อ” แต่อย่างใด

มีผลการวิจัยทยอยออกมาเรื่อยๆว่า ถึงได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว ไม่ว่าจะโดสแรกหรือฉีดครบสองโดส ก็ยังเป็นพาหะได้ ทั้งติดเชื้อมาและสามารถนำไปแพร่ให้คนอื่นได้อีก เพียงตัวเองอาจไม่แสดงอาการป่วย หรือป่วยแต่ไม่รุนแรง ล้มหมอนนอนเสื่อ

เรียกง่ายๆว่าผ่อนหนักเป็นเบา ซึ่งหากดูคอนเซปต์ หลักการการทำงานของวัคซีน ก็แน่นอนว่าวัคซีนไม่ว่าจะเป็นแบบ mRNA รหัสพันธุกรรมอย่างของไฟเซอร์ โมเดอร์นา หรือแบบไวรัสไม่เป็นอันตรายสวมปลอกโปรตีนโคโรนาของแอสตราเซเนกา-ออกซ์ฟอร์ด หรือแบบไวรัสตายของซิโน-แวคจีน หรือสปุตนิควีรัสเซีย

ทั้งหมดมีจุดประสงค์เพื่อให้ร่างกายคุ้นชิน ส่งของคล้ายๆกันเข้าไปให้ใช้เป็นหุ่นฝึกซ้อม เผื่อว่าวันหนึ่งเจอกับ “ของจริง” แล้ว ร่างกายจะได้ไม่งงเป็นไก่ตาแตกและ ผลิตภูมิคุ้มกันขึ้นมากำราบโดยไม่ลำบากนัก

...

อย่างในประเทศจีน เคยมีตัวอย่าง สำนักข่าวพีเพิล เดลี ของรัฐบาลจีนรายงานการตรวจพบบุคลากรการแพทย์ติดเชื้อ 1 คน ในเมืองซีอาน มณฑลชานซี ทางภาคกลางของประเทศ โดยเป็นการติดเชื้อแม้ว่าเจ้าหน้าที่ดังกล่าวจะได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสไปแล้ว

หรือข้อมูลคณะกรรมการด้านการฉีดวัคซีนและการสร้างภูมิคุ้มกันแห่งสหราชอาณาจักร (JCVI) ระบุ จากข้อมูลด้านวัคซีนชนิดต่างๆของกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ และข้อมูลผลการทดสอบวัคซีนของบริษัทแอสตราเซเนกา-มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ทำให้คำนวณได้ว่าวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ช่วยลดอัตราการแพร่ระบาดได้จริง แต่ก็อยู่ในระดับ 50 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่คนรับวัคซีนไปแล้วก็ยังสามารถติดเชื้อได้เหมือนเดิม ทั้งนำเชื้อไปแพร่ให้คนอื่นได้อีก จึงจำเป็นที่ ทุกๆคนต้องปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุข รักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัยกันต่อไป

พร้อมเป็นสาเหตุว่าทำไม องค์การ-อนามัยโลก (WHO) ถึงยังไม่สนับสนุนการใช้มาตรการ “วัคซีน พาสปอร์ต” (หรือบางประเทศเรียกว่า “ไวรัส พาสปอร์ต”) การออกใบอนุญาตให้ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว เพื่อจะได้เดินทางไปยังประเทศต่างๆ ช่วยเหลืออุตสาหกรรมการบิน กระตุ้นเม็ดเงินหมุนเวียนของโลก ให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ก็เพราะติดเรื่องนี้นั่นเองว่า วัคซีนไม่ได้ช่วยป้องกันการติดเชื้อ 100 เปอร์เซ็นต์

ในวันที่ 11 เม.ย.นี้ จะครบกำหนด 1 ปี กับอีก 1 เดือนเต็ม ที่องค์การอนามัยโลก ประกาศให้สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นภาวะการระบาดใหญ่ทั่วโลกหรือ Pandemic ถึงเวลาจะลากยาวถึงขนาดนี้ แต่สุดท้ายก็เหมือนกลับมา “รีเซต” กันใหม่เหมือนช่วงเริ่มต้นการระบาดไม่ผิดเพี้ยน ยอดเฉลี่ยการติดเชื้อทั่วโลกในกรอบ 1 สัปดาห์ ยังอยู่ที่ระดับ 600,000 คนต่อวัน เช่นเดียวกับยอดเสียชีวิตทั่วโลกในกรอบ 1 สัปดาห์ อยู่ที่ 10,000 คนต่อวัน ประเทศต่างๆยังทำสถิติกันเป็นว่าเล่นแม้จะชอบพูดกันว่าวัคซีนมาแล้ว อินเดียติดวันเดียวทะลุ 1 แสนคน บราซิลตายวันเดียวทะลุ 4,000 คน

จากสถิติดังกล่าว เป็นการชี้ให้เราเห็นกันชัดเจนได้หรือยังว่ามีวัคซีนก็แทบไม่ต่างกับไม่มีวัคซีน แถมยิ่งเป็นการเร่งให้เกิดความประมาท และกฎเหล็กเรื่องมาตรการป้องกัน อย่างการสวมหน้ากาก อนามัย ล้างมือ ใช้เจลแอลกอฮอล์ รักษาระยะห่าง คือกุญแจสำคัญในการเอาชนะไวรัสร้าย ไม่ทราบเป็นเหมือนกันหรือเปล่า เพราะอย่างช่วงปีที่ผ่านมา ในออฟฟิศก็แทบจะไม่มีใครป่วยเป็นโรคหวัดประจำฤดูอะไรกันเลย

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์คลัสเตอร์ใหม่ในประเทศไทยครั้งนี้ กลายเป็นไฟลามทุ่ง ไปแล้ว สื่อต่างประเทศพากันรายงานข่าวว่า คณะรัฐมนตรีไทยอย่างน้อย 10 คน และนักการเมืองอีกหลายสิบคนต้องกักบริเวณตัวเองหลังตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อ ทั้งมีรัฐมนตรีติดเชื้อไปแล้วเรียบร้อย

...

หากจะวิจารณ์อะไรก็คงดูเป็นการซ้ำเติม จึงขอกล้ำกลืนความอับอายขายขี้หน้าไว้อยู่ในใจ ว่าตัวแทนประชาชนบางคน ล้มเหลวในการเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประชาชน และย้ำเตือนกันต่อไปว่า อย่าประมาทเลยถึงจะมีวัคซีน ไม่ห่วงตัวเอง ก็ห่วงผู้อื่นกันบ้างเถิดครับ.

วีรพจน์ อินทรพันธ์