ตอนสมัยหนุ่มๆเคยถูกมองว่าเป็นแกะดำของราชวงศ์อังกฤษ เพราะมักใจร้อนและพลั้งปากวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นแบบไม่ยั้งคิด จนถูกสื่อนำมาตีข่าวใหญ่โต แต่กาลเวลาก็พิสูจน์ได้ถึงความเสียสละและความจริงใจของ “เจ้าชายฟิลิป” ดยุคแห่งเอดินเบอระ ที่ยอมละทิ้งศักดิ์ศรีและอีโก้ส่วนตัว เพื่อทำหน้าที่ลมใต้ปีกคอยสนับสนุน “ควีนเอลิซาเบธที่สองแห่งอังกฤษ” ในฐานะพระราชสวามี ถือได้ว่าทรงเป็นคู่ทุกข์คู่ยากที่กอดคอร่วมทุกข์ร่วมสุขอย่างแท้จริง ช่วยกันนำพาสถาบันฟันฝ่าวิกฤติมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หลังจากรับใช้ราชวงศ์วินด์เซอร์มาหลายทศวรรษ ช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจน้อยใหญ่ไม่เคยขาด เมื่อปลายปี 2017 “เจ้าชายฟิลิป” ทรงประกาศรีไทร์จากการปฏิบัติพระกรณียกิจทุกอย่าง ขณะ 97 พรรษา เนื่องจากมีพระชนมายุมากแล้ว โดยปี 2018 ทรงเข้ารับการผ่าตัดสะโพกครั้งใหญ่ และหลังจากนั้นก็มีอาการประชวรเป็นระยะๆ กระทั่งกลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ทรงถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลคิง เอ็ดเวิร์ดที่ 7 และยังคงประทับอยู่ในโรงพยาบาลมาจนถึงขณะนี้ สำนักพระราชวังบั๊กกิ้งแฮมมิได้เปิดเผยรายละเอียดของการประชวรใดๆ ระบุในแถลงการณ์แต่เพียงว่า “ดยุคแห่งเอดินเบอระ” ทรงรู้สึกประชวร จึงแอดมิตเข้าโรงพยาบาลเพื่อป้องกันไว้ก่อน ตามคำแนะนำของแพทย์ประจำพระองค์ อย่างไรก็ดี ภายหลังทางบั๊กกิ้งแฮมออกมายอมรับว่า “เจ้าชายฟิลิป” ทรงกำลังรับการรักษาอาการติดเชื้อ และคาดว่าจะต้องประทับที่โรงพยาบาลต่ออีกหลายวัน กระนั้น อาการไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง พระองค์รู้สึกสบายดี และตอบสนองต่อการรักษาอย่างดี ด้าน “เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด” พระโอรสองค์เล็ก ก็ยืนกรานกับสำนักข่าวสกาย นิวส์ ระหว่างเสด็จเยี่ยมพระบิดาว่า พระบิดาทรงรู้สึกดีขึ้นมาก และกำลังเฝ้ารอที่จะได้ออกจากโรงพยาบาล ขอขอบคุณสำหรับข้อความแสดงความห่วงใยจากทุกคน ตลอดเวลาที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งควีนเอลิซาเบธที่สอง และเจ้าชายฟิลิป ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ประทับอยู่ที่พระราชวังวินด์เซอร์ หลังย้ายออกจากพระราชวังบั๊กกิ้งแฮม เนื่องจากการระบาดหนักในระลอกแรก ขณะที่สำนักพระราชวังยืนยันเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ทั้งสองพระองค์ทรงได้รับวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาโดสแรกแล้วกว่า 7 ทศวรรษที่ทรงทำหน้าที่พรินซ์ คอนสอร์ท “เจ้าชายฟิลิป” ได้ตามเสด็จฯสมเด็จพระบรมราชินีเอลิซาเบธที่สอง ไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน โดยเดินทางไปเยือนประเทศต่างๆทั่วโลกมาแล้ว 143 ประเทศ และปฏิบัติพระกรณียกิจมากกว่า 22,219 งาน ตามรายงานของบั๊กกิ้งแฮมระบุว่า “ดยุคแห่งเอดินเบอระ” ทรงเป็นพระราชวงศ์วินด์เซอร์ ที่ปฏิบัติพระกรณียกิจมากที่สุดถึงปีละ 300 งาน ขณะเดียวกัน ก็ทรงเป็นองค์ประธานอุปถัมภ์องค์กรการกุศลมากกว่า 800 องค์กร และในปัจจุบันยังได้รับการบันทึกให้เป็นพรินซ์ คอนสอร์ท ที่อยู่เคียงข้างองค์พระประมุขยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ ภายใต้ภาพลักษณ์องอาจงามสง่าแบบชายชาติทหาร “เจ้าชายฟิลิป” มีความทรงจำวัยเด็กที่แสนเจ็บปวด ทรงเปล่าเปลี่ยวหงอยเหงา และลำบากยากเข็ญ แม้จะเติบโตมาพร้อมกับพระราชอิสริยศักดิ์ “พรินซ์ ฟิลิป ออฟ กรีซ แอนด์ เดนมาร์ก” โดยสืบเชื้อสายตรงมาจากราชวงศ์กรีซ และเป็นหลานทวดของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับควีนเอลิซาเบธที่สอง ทว่า ชีวิตในวัยเยาว์ของพระองค์นั้นแสนอาภัพ เนื่องจากต้องหลบหนีไปใช้ชีวิตในต่างแดนตั้งแต่เล็กๆ หลังพระปิตุลา “กษัตริย์คอนสแตนตินที่หนึ่งแห่งกรีซ” ถูกรัฐบาลทหารปฏิวัติโค่นล้มระบอบกษัตริย์ และกดดันให้สละราชสมบัติ ขณะที่พระบิดา “เจ้าชายแอนดรูว์แห่งกรีซ และเดนมาร์ก” รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงถูกจับกุมขัง และต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ฝรั่งเศสในที่สุด พี่สาวทั้ง 4 ของเจ้าชาย สมรสกับเจ้าชายเยอรมัน และย้ายรกรากไปอยู่ในเยอรมนี ขณะที่พระมารดา “เจ้าหญิงอลิซแห่งแบทเทนเบิร์ก” ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลจิตเวช เพราะป่วยเป็นโรคประสาทรุนแรง และในช่วงบั้นปลายชีวิต พระบิดาของเจ้าชายคงมีแต่แฟลตเล็กๆในเมืองมอนติคาร์โลเป็นที่พำนักสุดท้าย“เจ้าชายฟิลิป” ทรงเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติของอเมริกา ในกรุงปารีส ต่อมาถูกส่งตัวไปเรียนชั้นประถมที่สหราชอาณาจักร โดยเติบโตมาในพระราชวังเคนซิงตัน ภายใต้การเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดของลุง “จอร์จ เมานท์แบทเทน” ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจสำคัญ ด้วยความที่พี่สาวทั้ง 4 คน สมรสกับเจ้าชายเยอรมัน จึงชักชวนให้น้องชายคนเล็กไปเรียนหนังสือที่เยอรมนีด้วย แต่เรียนได้แค่ปีเดียว ลุงก็เรียกตัวกลับและตัดสินใจให้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนกอร์ดอนสโตน ในสกอตแลนด์ จนจบชั้นมัธยม จากนั้น เจ้าชายเดินตามความฝันที่อยากเป็นลูกนาวี โดยสอบเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยทหารเรือดาร์ทเมาธ์ น่าเสียดายที่ลุงจากโลกนี้ไปก่อน ที่จะได้เห็นหลานรักติดยศทหารเรือ และกุมบังเหียนเป็นผู้บังคับการเรือรบลำแล้วลำเล่า ระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ประทับใจที่ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำจนถึงปัจจุบัน หลังจากควีนเอลิซาเบธที่สองเสด็จขึ้นครองราชย์ ในปี 1953 “เจ้าชายฟิลิป” ทรงจำใจต้องหันหลังให้กองทัพราชนาวีเด็ดขาด เพื่อมาทำหน้าที่ “พรินซ์ คอนสอร์ท” ช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจจากองค์พระประมุขของอังกฤษ กระนั้น ก็ทรงได้รับการติดพระยศพลอากาศเอกประจำกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร และทรงหันมาทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกบินแทนมีการเล่าขานเลิฟสตอรีว่า “เจ้าหญิงเอลิซาเบธ” ทรงตกหลุมรัก “เจ้าชายฟิลิป” ตั้งแต่แรกเห็น เป็นตำนานรักแรกพบอย่างแท้จริง โดยขณะที่ทั้งคู่เจอกันครั้งแรก เมื่อปี 1939 “เจ้าหญิงเอลิซาเบธ” มีพระชนมายุเพียง 13 ชันษา ส่วน “เจ้าชายฟิลิป” 18 ชันษา กำลังเป็นนักเรียนเตรียมทหารเรือหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว ขณะนั้น พระเจ้าจอร์จที่หก และพระชายา “สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ” เสด็จเยือนวิทยาลัยทหารเรือดาร์ทเมาธ์ องค์ควีนทรงขอให้เจ้าชายฟิลิป ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระประยูรญาติห่างๆ พาพระธิดาทั้งสอง คือ “เจ้าหญิงเอลิซาเบธ” กับ “เจ้าหญิงมาร์กาเร็ต” เดินชมวิทยาลัย จากแรกพบสบตาปิ๊งในวันนั้น ทั้งคู่เริ่มเขียนจดหมายรักถึงกัน กระทั่งฤดูร้อน ปี 1946 ขณะที่ “เจ้าหญิงเอลิซาเบธ” มีพระชนมายุ 20 ชันษา “เจ้าชายฟิลิป” ได้ทูลขอ “พระเจ้าจอร์จที่หก” เพื่อเสกสมรสกับพระธิดาองค์โต ทรงได้รับไฟเขียวจากว่าที่พ่อตา โดยมีเงื่อนไขว่า การประกาศหมั้นอย่างเป็นทางการจะเกิดขึ้นได้ เมื่อ “เจ้าหญิงเอลิซาเบธ” ครบ 21 ชันษาเต็ม ในเดือน เม.ย.ปี 1947เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเป็นเขยกษัตริย์ “เจ้าชายฟิลิป” ทรงเร่งเคลียร์สถานภาพของพระองค์เอง โดยสละพระอิสริยยศทั้งหมดที่เกี่ยวโยงกับราชวงศ์กรีซ และเดนมาร์ก หันมาใช้นามสกุลลุง คือ “เมานท์แบทเทน” ขณะเดียวกัน ก็ทรงเปลี่ยนศาสนาจากนิกายกรีก ออร์ธอดอกซ์ มาเป็นเชิร์ช ออฟ อิงแลนด์ พร้อมเปลี่ยนสัญชาติเป็นอังกฤษเต็มตัว ทั้งนี้ การประกาศหมั้นหมายอย่างเป็นทางการของทั้งคู่ มีขึ้นในวันที่ 10 ก.ค.1947 ก่อนจะจัดพิธีเสกสมรสยิ่งใหญ่ ในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ เช้าวันที่ 20 พ.ย.1947 มีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์บีบีซี เพื่อให้ผู้ชม 200 ล้านคนทั่วโลก ได้ติดตามชมใกล้ชิด อย่างไรก็ดี เนื่องจากอังกฤษเพิ่งผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่สองหมาดๆ และอยู่คนละฝ่ายกับเยอรมนี จึงไม่อนุญาตให้ผู้ที่มีสายสัมพันธ์กับเยอรมันร่วมงานเสกสมรส ซึ่งก็รวมถึงพี่สาวทั้ง 4 ของเจ้าชายฟิลิป หลังการเสกสมรส “ดยุค และดัชเชสแห่งเอดินเบอระ” ประทับอยู่ที่พระตำหนักคลาเรนส์ เฮาส์ “เจ้าหญิงเอลิซาเบธ” ทรงตั้งครรภ์ในทันที และให้กำเนิดพระโอรสองค์แรก คือ “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” ในปี 1948 เมื่อ “พระเจ้าจอร์จที่หก” เสด็จฯสวรรคต ในปี 1952 ส่งผลให้ “เจ้าหญิงเอลิซาเบธ” ต้องขึ้นครองราชย์สืบราชบัลลังก์แทน และเข้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.1953 “ดยุคแห่งเอดินเบอระ” จำต้องเสียสละความปรารถนาส่วนตัว และยอมลดอีโก้มาเดินตามหลังควีนเอลิซาเบธที่สอง เพื่อสนับสนุนการปกครองราชอาณาจักร และช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจในทุกด้าน แม้จะถูกมองว่าเป็นพระราชวงศ์หัวแข็งเคร่งครัดในระเบียบวินัยอย่างสุดโต่งแต่ลึกๆลงไปแล้ว “เจ้าชายฟิลิป” ก็ทรงมีพระทัยอ่อนโยนอย่างยิ่ง หลายครั้งหลายคราที่เกิดมรสุมใหญ่ภายในราชวงศ์วินด์เซอร์ ก็ได้ “ดยุคแห่งเอดินเบอระ” พระองค์นี้ ที่ช่วยหาทางออกและไกล่เกลี่ยจนฝ่าวิกฤติรอดมาได้ทุกครา. ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ